บำรุงรักษารถยนต์

เครื่องยนต์ ดับ ขณะ ขับ ขับรถแล้วเครื่องยนต์หยุดทำงานเกิดจากสาเหตุใด เครื่องยนต์ดับตอนอยู่บนท้องถนนส่งผลเสียอย่างไรบ้าง เมื่อเครื่องยนต์ดับขณะขับจะต้องแก้ไขอย่างไร  

การขับรถยนต์เดินทางไปในสถานที่ต่างๆด้วยมีความสบายจากฟังก์ชั่นอำนวยความสะดวกต่างๆและสามารถบรรทุกผู้โดยสารได้จำนวนหลายคนจึงเป็นสาเหตุให้รถยนต์ยังคงถูกใช้งานอยู่บนท้องถนนในปัจจุบัน อย่างไรก็ตามในขณะที่ขับรถยนต์อยู่บนท้องถนนอาจจะต้องพบเจอเข้ากับปัญหา “เครื่องยนต์ ดับ ขณะ ขับ” ซึ่งมีความเสี่ยงเป็นอย่างมากหากผู้ขับขี่ขับรถมาด้วยความเร็วสูงและอยู่ในเลนขวาที่รถใช้ความเร็วสูงอาจส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ กอปรกับปัญหาเครื่องยนต์ดับขณะขับยังทำให้ท่านเสียเวลาที่จะต้องตรวจเช็ครถว่าเกิดขึ้นจากสาเหตุใด หรือ ต้องตามช่างมาช่วยตรวจสอบซึ่งต้องเสียค่าใช้จ่ายอยู่พอสมควร ทั้งนี้เหตุการณ์เครื่องยนต์ดับขณะขับเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุทั้งจากรถยนต์น้ำมันหมด แบตเตอรี่ไม่สามารถเก็บไฟได้ ระบบเครื่องยนต์มีปัญหา น้ำมันเครื่องหมด หม้อน้ำแห้ง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นสาเหตุที่ทำให้อาการ รถ ดับ กลาง อากาศ ขณะขับได้แทบทั้งสิ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเครื่องยนต์ดับระขับจะต้องทำอย่างไร แก้ไขได้หรือไม่ เครื่องยนต์ดับเกิดจากสาเหตุใดสามารถที่จะติดตามได้ที่นี่

อาการ รถ ดับ กลาง อากาศเกิดจากสาเหตุใด

เครื่องยนต์นับเป็นส่วนประกอบหนึ่งภายในรถยนต์ที่ช่วยให้รถสามารถขับเคลื่อนไปได้โดยอาศัยความร้อนแล้วจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังงานกลเพื่อส่งกำลังไปยังระบบต่างๆภายในรถยนต์ เพราะฉะนั้นเครื่องยนต์จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก หากอาการ รถ ดับ กลาง อากาศในระหว่างที่ขับขี่อยู่บนท้องถนนย่อมที่จะส่งผลให้รถของท่านมีความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุและยังทำให้เสียเงินในการซ่อมแซมเครื่องยนต์ในจำนวนที่มากอีกด้วย สำหรับปัญหาเครื่องยนต์ดับขณะขับเกิดขึ้นจากหลายสาเหตุประกอบกันดังนี้

อาการ รถ ดับ ขณะ ขับ

• หม้อน้ำแห้ง หม้อน้ำรถยนต์ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญในระบบหล่อเย็นภายในรถยนต์ หากหม้อน้ำแห้งเนื่องจากผู้ขับขี่ไม่ได้ทำการเติมน้ำยาหล่อเย็น หรือ มีความผิดปกติเพราะรถมีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนานมีคราบฝุ่นผงเข้าไปอุดตันภายในระบบหล่อเย็นของเครื่องยนต์ รวมไปถึงหม้อน้ำมีรอยรั่วซึ่งมักจะเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิดปัญหาเครื่องยนต์ดับขณะขับเกิดขึ้นได้ นอกจากนี้แล้วฝาปิดหม้อน้ำก็ถือว่ามีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เพราะเมื่อฝาปิดหม้อน้ำปิดไม่สนิทมีน้ำหล่อเย็นรั่วซึมออกมาอาจส่งผลต่อแรงดันภายในหม้อน้ำผิดปกติและน้ำยาหล่อเย็นรั่วซึมหายไปในระหว่างขับขี่จนทำให้หม้อน้ำแห้งและเครื่องยนต์ ดับ ขณะ ขับนั่นเอง

• เครื่องยนต์มีความร้อนสูง ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับขณะขับ เนื่องจากรถรุ่นใหม่ในปัจจุบันมีการติดตั้งฟังก์ชั่นความปลอดภัยแจ้งเตือนเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท (เครื่องยนต์มีความร้อนสูง) โดยระบบจะตัดกำลังและการทำงานของเครื่องยนต์ลงโดยอัตโนมัติเพื่อไม่ให้เครื่องยนต์เสียหาย อย่างไรก็ตามไฟแจ้งเตือนเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีทมักจะเป็นสีเขียว หรือ สีฟ้า เมื่อเปลี่ยนเป็นสีแดงผู้ขับขี่ควรประคองรถเข้าข้างทางเนื่องจากเครื่องยนต์ภายในรถของท่านกำลังมีปัญหาเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีทหากฝืนขับต่อไปย่อมส่งผลให้เครื่องยนต์ดับและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซ่อมสูงเลยทีเดียว สำหรับปัญหาเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีทเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น หม้อน้ำแห้ง ใบพัดลมหม้อน้ำแตก ปิดฝาหม้อน้ำไม่สนิท สายพานปั๊มน้ำเข้าสู่ระบบหล่อเย็นขาด และวาล์วน้ำไม่ทำงาน

• รถน้ำมันหมด การตรวจเช็คระดับน้ำมันก่อนการเดินทางนับเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรคำนึงถึงเป็นอย่างมาก เนื่องจากหากรถไม่มีน้ำมันป้อนเข้าสู่เครื่องยนต์ย่อมส่งผลให้การทำงานของระบบต่างๆภายในรถยนต์หยุดการทำงานลงไปด้วยและส่งผลให้เครื่องยนต์ดับขณะขับในที่สุด เพราะฉะนั้นหากต้องการขับรถยนต์ หรือ เดินทางไปยังสถานที่ต่างๆควรตรวจเช็คระดับน้ำมันให้อยู่ในปริมาณที่พอดีกับการเดินทาง หรือ มากกว่าเพื่อป้องกันปัญหาเครื่องยนต์ดับขณะขับ

• น้ำมันเครื่องแห้ง น้ำมันเครื่องแห้งนับเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ดับขณะขับ เนื่องจากน้ำมันเครื่องมีหน้าที่สำคัญในการหล่อลื่นและลดการเสียดสีของสายพาน หรือ ระบบต่างๆที่ต้องใช้น้ำมันเครื่องเข้าไปเป็นตัวช่วยในการหล่อลื่นซึ่งตากปกติแล้วก่อนที่น้ำมันเครื่องหมดจะต้องมีสัญลักษณ์กาน้ำมันขึ้นโชว์ที่หน้าจอแสดงผลการขับขี่ หมายความว่าน้ำมันเครื่องไม่สามารถที่จะหมุนเวียนเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์ตามปกติจนเป็นสาเหตุให้เครื่องยนต์โอเวอร์ฮีทและเครื่องยนต์ดับขณะขับในที่สุด ส่วนสาเหตุที่ทำให้น้ำมันเครื่องแห้งมีด้วยกันหลายสาเหตุ อาทิ อ่างน้ำมันเครื่องรั่ว ซีลรั่ว ปั๊มน้ำมันเครื่องเสีย น้ำมันเครื่องหมด และ เซ็นเซอร์แรงดันน้ำมันเครื่องเสีย 

• ใบพัดหม้อน้ำแตก สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ ดับ ขณะ ขับ คือ ใบพัดหม้อน้ำแตก หรือ มีรอยร้าว ส่งผลให้ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ หรือ มีการทำงานที่ผิดปกติไป ไม่สามารถสร้างแรงลมเพื่อเพิ่มความเย็นให้กับระบบหล่อเย็นได้ย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำเครื่องยนต์โอเวอร์ฮีทและเครื่องยนต์ดับในขณะขับ อย่างไรก็ตามปัญหาที่เกิดขึ้นกับใบพัดหม้อน้ำมักเกิดขึ้นจากมีอายุการใช้งานที่ยาวนาน ใบพัดมีรอยร้าว ใบพัดแตกแล้วเข้าไปปะทะเข้ากับหม้อน้ำจนทำให้หม้อน้ำแตก และแกนใบพัดหม้อน้ำผิดรูปเนื่องจากได้รับแรงกระแทกอย่างรุนแรง หากพัดลมหม้อน้ำมีการทำงานที่ผิดปกติจนไม่สามารถส่งลมเข้าไปทำความเย็นในระบบหล่อเย็นได้ควรทำการจอดรถเพื่อขอความช่วยเหลือ

• ไดชาร์จเสีย ไดชาร์จเสียก็ถือเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เครื่องยนต์ดับขณะขับ เนื่องจากไดชาร์จภายในเครื่องยนต์จะทำหน้าที่ในการชาร์จไฟเพื่อส่งกลับเข้าไปเก็บยังหม้อแบตเตอรี่ เมื่อผู้ขับขี่มีการใช้งานรถยนต์กระแสไฟฟ้าที่ใช้ภายในรถยนต์จะเกิดขึ้นจากไดชาร์จ หากไดชาร์จเสียไม่สามารถที่จะส่งกระแสไฟไปยังแบตเตอรี่ได้ เครื่องยนต์รวมไปถึงระบบการทำงานต่างๆภายในรถยนต์ที่ต้องใช้ไฟจะถูกสลับมาใช้กระแสไฟจากแบตเตอรี่ หากแบตเตอรี่หมดไฟเครื่องยนต์ก็จะดับลงตามไปด้วยนั่นเอง 

• คอยล์จุดระเบิดทำงานผิดปกติ คอยล์จุดระเบิดนับเป็นอีกชิ้นส่วนหนึ่งที่อาจทำให้อาการรถวูบ เร่งไม่ขึ้นเพราะคอยล์จุดระเบิดมีหน้าที่หลักในการจ่ายไฟไปสู่หัวเทียนเพื่อทำการจุดระเบิดภายในกระบอกสูบ หากทำงานผิดปกติก็ย่อมส่งผลให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่อืดลง รถเร่งไม่ขึ้นรวมไปถึงเครื่องยนต์ยังมีอาการสั่นและดับลงในที่สุด โดยส่วนใหญ่แล้วเมื่อคอยล์จุดระเบิดทำงานผิดปกติจะมีไฟแจ้งเตือนขึ้นที่หน้าจอแสดงผลการขับขี่ ทั้งนี้ผู้ขับขี่ควรจอดรถและตรวจเช็คการทำงานของเครื่องยนต์ดูว่ายังเป็นปกติดีหรือไม่

เครื่องยนต์ดับขณะขับจะต้องทำอย่างไร

เมื่อต้องพบเจอเข้ากับเหตุการณ์รถ ดับในขณะขับผู้ขับผู้ขับขี่ควรตั้งสติและปฏิบัติดังนี้

• • ก่อนที่รถ ดับมักจะมีสัญลักษณ์แสดงความผิดปกติแจ้งเตือนขึ้นที่หน้าจอแสดงผลการขับขี่ทั้งจากสัญลักษณ์ไฟแสดงสถานะแบตเตอรี่ ไฟแสดงสถานการณ์ทำงานของเครื่องยนต์ และสัญลักษณ์ไฟแสดงระดับความร้อนภายในเครื่องยนต์ซึ่งรถยนต์รุ่นเก่ามักเป็นรูปแบบเข็มวัด ส่วนในรถรุ่นใหม่มักเป็นสัญลักษณ์ไฟสีเขียว , สีส้ม หากมีสัญลักษณ์สีแดง หรือ สัญลักษณ์แจ้งเตือนความผิดปกติของแบตเตอรี่ หรือ เครื่องยนต์ควรทำการชะลอรถและจอดข้างทางเพื่อตรวจเช็คความผิดปกติดังกล่าว หรือ โทรศัพท์ตามช่างที่มีความเชี่ยวชาญในการแก้ปัญหาเบื้องต้น
  • เมื่อเริ่มมี อาการรถวูบ เร่งไม่ขึ้นหรือ เครื่องยนต์แรงตก ให้ผู้ขับขี่ตั้งสติก่อน แล้วจึงค่อยๆประคองพวงมาลัยรถยนต์เพื่อให้เข้าไปอยู่ในทิศทางที่ปลอดภัยเพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุจากรถยนต์คันที่ตามหลัง และค่อยๆเหยียบเบรกไม่ควรที่จะเหยียบเบรกรถยนต์อย่างกระทันหันในขณะที่เครื่องยนต์ใกล้ดับเพราะจะเป็นการตัดระบบการทำงานของเครื่องยนต์ลงโดยอัตโนมัติ อีกทั้งยังมีความเสี่ยงที่จะทำให้รถเกิดอุบัติเหตุจากการเฉี่ยวชนได้อีกด้วย
  • หากรถของท่านมีสัญลักษณ์แสดงความร้อนภายในเครื่องยนต์ผิดปกติ (เครื่องยนต์โอเวอร์ฮีท) เมื่อผู้ขับขี่จอดรถในจุดที่ปลอดภัยแล้วยังไม่ควรเปิดฝากหม้อน้ำออกภายในทันทีเพื่อเช็คระดับน้ำ เนื่องจากในบางครั้งไอหม้อน้ำซึ่งอยู่ภายในหม้อน้ำยังคงเดือดอยู่ซึ่งอาจส่งผลทำให้น้ำร้อนลวกที่ร่างกายของท่านได้
  • เมื่อรถจอดอยู่ในจุดที่มีความปลอดภัย บริเวณไหล่ทาง และข้างทางแล้ว ควรที่จะติดต่อช่างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญ หรือ ศูนย์บริการที่จะมาช่วยในการซ่อมแซมเครื่องยนต์ในเบื้องต้น หรือ ทำการลากจูงรถของท่านเข้าไปยังอู่เพื่อทำการซ่อมในส่วนที่สึกหรอ ทั้งนี้ผู้ขับขี่ไม่ควรที่จะฝืนขับรถต่อไปเนื่องจากอาจทำให้เครื่องยนต์เสียหายมากยิ่งขึ้นนั่นเอง

อาการ รถ ดับ กลาง อากาศ

สำหรับผู้ที่มีความสนใจเคล็ดลับในการใช้รถ เครื่องยนต์ดับขณะขับเกิดขึ้นจากสาเหตุใด เครื่องยนต์ดับขณะขับแก้ไขอย่างไร เครื่องยนต์ดับขณะขับจะต้องทำอย่างไรสามารถที่จะหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ khaorodnissan.com ตลาดรถออนไลน์ชั้นนำที่ดีที่สุดในประเทศไทย

รถยางแตกนับเป็นอีกปัญหาหนึ่งที่ผู้ใช้รถหลายรายไม่ต้องการพบเจอเข้ากับเหตุการณ์นี้ เมื่อรถยางระเบิดแล้วต้องทำอย่างไร ยางระเบิดสามารถป้องกันได้หรือไม่ รถยางแตกสังเกตได้อย่างไร

ยางรถยนต์ถือเป็นส่วนประกอบสำคัญที่ช่วยให้รถยนต์สามารถที่จะทำการขับเคลื่อนไปในเส้นทางต่างๆและไปถึงเป้าหมายได้ตรงตามความต้องการของผู้ขับขี่ อย่างไรก็ตามด้วยสภาพยางที่มีอายุเก่า ไม่ได้รับการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ รวมไปถึงขาดการบำรุงรักษาและใช้ยางที่ไม่มีประสิทธิภาพล้วนแล้วแต่ส่งผลให้เกิดปัญหารถยางแตก ยางระเบิด และยางแตกเกิดขึ้นได้ซึ่งสามารถนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุรถพลิกคว่ำ หรือ เหตุการณ์ที่ไม่พึงประสงค์ขึ้นได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามการตรวจเช็คสภาพยางให้มีความพร้อมสำหรับการขับขี่อยู่เสมอย่อมช่วยให้ยานพาหนะที่ผู้ขับขี่ใช้งานอยู่ในสภาพที่มีความพร้อมสำหรับการขับขี่อยู่เสมอ และช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากปัญหารถยางแตกได้อย่างชะงักอีกด้วย กอปรกับการบำรุงและตรวจเช็คสภาพยางอยู่เสมอนั้นยังช่วยปกป้องชีวิตของผู้ขับขี่และผู้โดยสารให้เดินทางไปถึงจุดหมายได้อย่างปลอดภัย ทั้งนี้เมื่อเกิดปัญหารถยางระเบิดขึ้นจะต้องทำอย่างไรเป็นอันดับแรก ยางระเบิดสามารถที่จะป้องกันได้หรือไม่ ตรวจเช็คสภาพยางทำอย่างไรสามารถที่จะหาคำตอบได้ที่นี่

ยางระเบิดเกิดขึ้นได้อย่างไร  

นับเป็นคำถามที่คาใจผู้ใช้รถหลายรายถึงปัญหา “ยางระเบิด” เกิดขึ้นได้อย่างไร สำหรับรถยางแตก ยางระเบิดนั้นสามารถที่จะเกิดขึ้นได้กับยานพาหนะที่ใช้ล้อเป็นส่วนประกอบในการขับเคลื่อนได้แทบทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นรถกระบะ รถเก๋ง รถขับเคลื่อน 4 ล้อ รถ 6 ล้อ และรถ 10 ล้อขนสินค้าก็ไม่ได้รับการยกเว้นจากปัญหารถยางแตกแต่อย่างใด เหตุการณ์รถยางแตกนั้นก็ไม่ได้ที่จะเกิดขึ้นกับรถทุกคัน เพราะรถที่ได้รับการตรวจเช็คช่วงล่างโดยเฉพาะยางรถอยู่อย่างสม่ำเสมอย่อมที่จะเผยให้เห็นความผิดปกติที่อยู่บนยางรถนั่นเอง อย่างไรก็ตามรถยางแตกเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้

ยางแตก

• ยางสภาพเก่า สำหรับผู้ขับขี่บางรายอาจมีการใช้ยางที่มีอายุการใช้งานมาอย่างยาวนานส่งผลให้เมื่อขับขี่รถยนต์อาจต้องพบเจอเข้ากับเหตุการณ์รถยางแตกได้เช่นกัน เนื่องจากยางรถยนต์ที่มีสภาพเก่าเกินอายุการใช้งานจะส่งผลให้น่ายางมีการบดสัมผัสกับถนนได้มากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ยางรถยนต์มีการเสียดสีกับพื้นผิวถนนจนถึงในส่วนของหน้ายางชั้นในที่มีลักษณะเป็นเส้นขดลวดแตกออกมาและทำให้เกิดสภาพยางบวม หน้ายางผิดรูป หากฝืนใช้ต่อไปและไม่ทำการเปลี่ยนใหม่เมื่อยางต้องเสียดสีและสัมผัสกับพื้นผิวถนนเป็นระยะเวลานานก็ส่งผลให้ยางแตกได้นั่นเอง
• ใช้ยางหล่อดอก ยางหล่อดอก หรือ ยางมือสอง ถือว่าได้รับความนิยมจากผู้ใช้รถเป็นยางมากเนื่องจากมีราคาจำหน่ายที่ถูกกว่ายางใหม่อยู่พอสมควร อีกทั้งยังสามารถที่จะใช้งานได้โดยไม่มีความแตกต่างจากยางใหม่มากนัก อย่างไรก็ตามการใช้ยางหล่อดอกผู้ขับขี่ไม่สามารถที่จะทราบได้ว่ายางเก่าที่ถูกนำมาหล่อดอกเมื่อนำมาจำหน่ายเป็นยางเปอร์เซ็นต์มือสองนั้นมีสภาพเป็นอย่างไร ผ่านการตรวจเช็คอย่างมีมาตรฐานหรือไม่ และการเลือกใช้งานยางหล่อดอกที่ไม่มีมาตรฐานเมื่อนำมาใช้งานในระยะเวลาหนึ่งอาจก่อให้เกิดปัญหายางถ่วงล้อ ทำให้พวงมาลัยสั่นในขณะขับขี่ได้และช่วงล่างเสียหายในที่สุด อีกทั้งยางหล่อดอกที่ไม่มีมาตรฐานเหล่านี้มีความเสี่ยงต่อการทำให้ยางระเบิดได้อีกด้วย
• เติมลมยางมากเกินไป หรือ อ่อนจนเกินไป การเติมลมยางก็ถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่มีความสำคัญที่จะทำให้เกิดปัญหายางแตกได้ด้วยเช่นกัน เนื่องจากยางที่เติมลมยางน้อยจนเกินไปจะส่งผลให้ผิวสัมผัสของหน้ายางสัมผัสกับพื้นผิวของถนนมากยิ่งขึ้นเพราะน้ำหนักของตัวรถเมื่อขับขี่ในระยะเวลานานจะก่อให้เกิดความร้อนจากการเสียดสีและยางระเบิดในที่สุด อีกทั้งในกรณีที่เลือกเติมยางมากเกินไปย่อมส่งผลให้รถมีอาการกระเด้งได้ง่ายเมื่อรถลงหลุมและทำให้ยางแตกได้เช่นกัน
• เหยียบของมีคม ในระหว่างที่ผู้ขับขี่ใช้งานรถบนท้องถนนในบางครั้งต้องพบเจอเข้ากับของมีคมที่ตกหล่นอยู่ตามท้องถนนจำพวกเหล็กเส้น ตะปูคอนกรีต หรือ แผ่นเหล็กปิดท่อน้ำที่มีการติดตั้งเอาไว้บนถนน เหล่านี้เมื่อขับรถยนต์เข้าไปเหยียบย่อมทำให้เกิดบาดแผลบนหน้ายาง และทำให้แรงดันลมยางรั่วซึมจนเกิดการเสียดสีกับพื้นผิวถนนและก่อให้เกิดปัญหารถยางแตกขึ้นนั่นเอง 
• ขับรถลงหลุมขนาดใหญ่ ในการขับขี่รถยนต์บนท้องถนนย่อมต้องพบเจอเข้ากับเส้นทางที่มีสภาพพื้นผิวขรุขระ หรือ หลุมขนาดใหญ่ โดยเฉพาะหากผู้ขับขี่ขับรถด้วยความเร็วสูงย่อมส่งผลให้ในขณะยางรถลงในหลุมด้วยความเร็วและแรงจนทำให้ล้อ หรือ ยางเกิดอาการผิดรูปอย่างรวดเร็วจนยางบวกและทำให้ยางระเบิดได้ในที่สุดนั่นเอง
• บรรทุกหนักจนเกินมาตรฐาน ปัจจุบันผู้ใช้งานรถหลายรายโดยเฉพาะรถกระบะมักมีการติดตั้งราวเหล็กเสริมด้านหลังกระบะเพื่อช่วยให้สามารถที่จะบรรทุกสัมภาระขนส่งได้มากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามเมื่อเลือกที่จะบรรทุกหนักย่อมส่งผลให้มีแรงกดทับไปที่ยางโดยตรงทำให้มีการเสียดสีกับพื้นผิวถนนมากยิ่งขึ้นจนก่อให้เกิดความร้อนและยางแตกตามมานั่นเอง กอปรกับการเลือกใช้งานที่ไม่ตรงตามสเปคของล้อ หรือ ยางรถแต่งที่มีแก้มยางเตี้ยจนเกินไปก็ย่อมมีผลทำให้ยางแตกได้ในท้ายที่สุดนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม : ปะยางรถยนต์ มีกี่วิธี แบบไหนดีที่สุด

ยางแตก ยางระเบิด สังเกตได้อย่างไร

ในกรณีที่ยางแตก หรือ ยางระเบิดนั้นก็มีหลักการสังเกตที่ผู้ขับขี่สามารถจะสำรวจได้อย่างไม่ยากเย็นนัก เพราะก่อนที่ยางจะระเบิดย่อมต้องมีความผิดปกติเผยออกมาให้เห็น ดังนี้

• อาการพวงมาลัยจากที่เคยควบคุมได้ปกติกลับหนักขึ้น หักเลี้ยวได้อย่างลำบาก และรถเริ่มมีอาการส่ายตัวจนไม่สามารถที่จะควบคุมได้จนส่งผลให้เกิดยางระเบิดขึ้น 
• ในระหว่างที่ทำการขับขี่รถอยู่นั้นรถมีอาการสะท้อนจากช่วงล่างเพราะยางแบน หรือ ยางบวม และทำให้พวงมาลัยหนัก เหยียบคันเร่งแล้วรถยังคงเคลื่อนตัวไปด้านหน้าได้ช้าจนผิดสังเกตให้พึงระลึกไว้เสมอว่ารถของท่านยางใกล้ที่จะระเบิดแล้ว
• ในระหว่างที่ทำการขับขี่รถไปในเส้นทางตามปกติมีเสียงดังออกมาจากล้อ หรือ ยาง ในลักษณะที่ผิดปกติผู้ขับขี่ควรที่จะหยุดรถและลงไปสำรวจดูว่าช่วงล่างมีการทำงานที่ผิดพลาด หรือ มีชิ้นส่วนใดผิดปกติ พร้อมทั้งตรวจเช็คไปที่ยางทั้ง 4 ล้อ ว่าอยู่ในสภาพปกติหรือไม่ หากพบมีอาการบวม หรือ ปริแตก ควรหยุดรถและทำการเปลี่ยนยางเส้นใหม่ทดแทนในล้อเส้นนั้นๆ

ยางระเบิด

เมื่อรถยางระเบิดควรทำอย่างไร

สำหรับเหตุการณ์รถยางระเบิดนั้นไม่ใช้ว่าจะเกิดขึ้นได้อย่างง่ายดาย หรือ บ่อยครั้ง แต่มักเกิดขึ้นกับยางที่มีสภาพเก่า บวม ปริแตก และยางเปอร์เซ็นต์มือสองที่ไม่มีมาตรฐานในขั้นตอนการผลิต ก่อนที่ยางระเบิดรถย่อมมีอาการส่ายตัว พวงมาลัยหนัก เร่งเครื่องแล้วรถไม่วิ่ง พวงมาลัยบังคับเลี้ยวได้ยากและยางก็ระเบิดในที่สุด ให้ผู้ขับขี่พยายามที่จะบังคับรถโดยถือพวงมาลัยให้มีความมั่นคง ไม่ส่ายไปมาตามสภาพของล้อข้างที่ระเบิด พยามยามค่อยแตะเบรกย้ำไปเรื่อยๆจนรถสามารถที่จะชะลอความเร็วลงได้ ก่อนที่จะสำรวจว่ามีรถตามหลังมาหรือไม่ และให้เปิดสัญญาณไฟฉุกเฉินเพื่อป้องกันรถคันที่ตามหลังชนท้าย เมื่อสามารถที่จะควบคุมรถได้แล้วก็ควรที่จะจอดรถข้างทางเพื่อทำการเปลี่ยนยางสำรองเข้ามาทดแทนยางเส้นที่ระเบิดออกไป

นอกจากนี้แล้วในระหว่างที่ยางรถระเบิดนั้นผู้ขับขี่ควรตั้งสติและห้ามดึงเบรกมือ เนื่องจากจะทำให้รถต้องเบรคอย่างกะทันหันควบคุมรถไม่ได้จนส่งผลให้รถพลิกคว่ำได้ในที่สุด แต่ควรเลือกที่จะค่อยๆลดความเร็วลงจนอยู่ในระยะที่ปลอดภัยและสามารถควบคุมรถได้แล้วนั่นเองจึงทำการเปลี่ยนเกียร์เพื่อมาใช้เกียร์ต่ำและติดต่อขอความช่วยเหลือจากผู้ที่มีความเชี่ยวชาญในการเปลี่ยนยางรถ หรือ หากทำการเปลี่ยนยางได้ด้วยตนเองก็สามารถที่จะทำได้เช่นกัน 

วิธีป้องกันรถยางระเบิด

สำหรับวิธีการป้องกันรถยางระเบิดนั้นผู้ขับขี่สามารถที่จะนำไปปรับใช้ได้อย่างง่ายดายเพื่อช่วยให้ท่านขับขี่รถถึงจุดหมายได้โดยสวัสดิภาพ มีดังนี้

• เลือกใช้ยางที่มีมาตรฐานการผลิตที่ดี และเลือกใช้ยางที่มีปีการผลิตที่ไม่เก่าจนเกินไปเนื่องจากในกรณีที่ผู้ขับขี่ใช้ยางใหม่แต่มีปีการผลิตที่อายุนานเกิน 3-5 ปี ก็ย่อมส่งผลให้หน้ายางตายด้านและไม่ยึดเกาะกับพื้นผิวของถนนนั่นเอง
• ตรวจเช็คแรงดันลมยางอยู่เสมอ การตรวจเช็คแรงดันลมยาง หรือ สภาพของล้อว่ามีความผิดปกติ ลมอ่อนจนเกินไปจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดปัญหารถยางแตกได้ดีที่สุด และควรเลือกที่จะเติมลมยางตามค่ามาตรฐานที่มีการระบุเอาไว้ หรือ สังเกตุที่บริเวณด้านข้างฝั่งคนขับที่มีการติดตั้งป้ายระบุอัตราการเติมลมยางนั่นเอง
• ไม่ใช้ยางเก่า สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรคำนึงถึงเสมอ คือ ยางมีสภาพเก่าจนเกินไป หรือ ผ่านอายุการใช้งานมาอย่างยาวนานย่อมส่งผลให้การยึดเกาะกับพื้นผิวถนนทำได้ไม่ดี ในบางกรณียางเก่าอาจมีอาการยางบวม ยางผิดรูป เนื่องจากเสียดสีกับพื้นผิวถนนมาเป็นระยะเวลานาน ควรเลือกที่จะเปลี่ยนยางใหม่เพื่อการขับขี่อย่างปลอดภัยมากยิ่งขึ้น
• เลือกใช้ยางเปอร์เซ็นต์ ยางหล่อดอก หรือ ยางมือสอง ที่มีมาตรฐานในการผลิตที่ดี ไม่เลือกใช้ยางมือสองที่ไม่รู้ที่มาและมีสภาพปีผลิตที่เก่าจนเกินไปซึ่งอาจส่งผลให้เมื่อผู้ขับขี่ใช้งานยางมือสองไปในชั่วระยะเวลาหนึ่งย่อมมีความเสียงที่จะต้องพบเจอเข้ากับเหตุการณ์ยางแตกได้

ยางระเบิดเกิดขึ้นได้อย่างไร

สำหรับผู้ที่มีความสนใจเคล็ดลับในการใช้รถ รถยางแตกทำอย่างไร วิธีการสังเกตอาการรถยางแตก รถยางแตกป้องกันอย่างไร พร้อมทั้งความรู้ในการขับขี่รถอย่างปลอดภัยอีกมากมายได้ที่ khaorodnissan.com ตลาดรถออนไลน์ชั้นนำที่ดีที่สุดในประเทศไทย

น้ำเข้าท่อไอเสียส่งผลอย่างไรบ้าง น้ำเข้าท่อไอเสียรถยนต์จะต้องทำอย่างไร แนะนำวิธีการแก้ไขน้ำเข้าท่อไอเสียรถยนต์ พร้อมวิธีการขับขี่รถยนต์ในพื้นที่น้ำท่วมขังอย่างปลอดภัย

เมื่อผู้ขับขี่ต้องขับรถยนต์ในพื้นที่น้ำท่วมย่อมที่จะมีความเสี่ยงกับการพบเจอเข้ากับปัญหาน้ำเข้าท่อไอเสียซึ่งอาจส่งผลให้รถของท่านเครื่องยนต์ดับลงได้ โดยเฉพาะเมื่อผู้ขับขี่ต้องขับรถเข้าไปในพื้นที่ลุ่มต่ำที่มีน้ำท่วมขัง หรือ ขับขี่รถยนต์ผ่านพื้นที่น้ำท่วมขังย่อมมีความเสี่ยงที่จะทำให้เครื่องยนต์ดับได้เช่นกัน เนื่องจากรถยนต์ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อให้สามารถขับในพื้นที่น้ำท่วมขังสูงได้ยกเว้นรถยนต์ในจำพวกรถกระบะยกสูง หรือ รถกลุ่มกลุ่มกระบะออฟโรดที่มีตัวถังแบบยกสูงซึ่งก็สามารถที่จะขับรถลุยน้ำได้ในระดับหนึ่ง อีกทั้งในกรณีที่ผู้ขับรถเข้าไปยังพื้นที่น้ำท่วมขังแล้วรถของท่านเป็นรถรุ่นใหม่ก็อาจมีผลทำให้ระบบไฟภายในรถเสียหายได้เช่นกัน เนื่องจากในรถรุ่นใหม่มักได้รับความนิยมติดตั้งเครื่องยนต์แบบไฮบริด หรือ ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า เมื่อเครื่องยนต์ดับและระบบไฟฟ้าภายในรถไม่ทำงานก็ย่อมทำให้ระบบปรับอากาศไม่ทำงานรวมถึงระบบประตูที่ใช้ไฟฟ้าในการควบคุมไม่ทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นการขับรถเข้าพื้นที่น้ำท่วมและป้องกันไม่ให้น้ำเข้าท่อไอเสียจะต้องทำอย่างไร

ท่อไอเสียคืออะไร !

ท่อไอเสีย มีหน้าที่หลักในการระบายไอเสียออกจากเครื่องยนต์และลดเสียงภายในเครื่องยนต์ เพราะในขณะที่เครื่องยนต์มีการทำงานจะก่อให้มีไอเสียเกิดขึ้นเนื่องจากการจุดระเบิดและเผาไหม้ในระหว่างการสันดาปของเครื่องยนต์ภายในห้องเครื่องซึ่งจะก่อให้เกิดไอเสียที่เป็นส่วนเกินออกมาจากเครื่องยนต์จำพวกคาร์บอนไดออกไซด์ และคาร์บอนมอนอกไซด์และส่งผ่านออกมาทางท่อไอเสียนั่นเอง ในกรณีที่น้ำเข้าท่อไอเสียย่อมส่งผลทำให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น แรงตก หากเข้าในปริมาณที่มากจนถึงท่อไอดีจะทำให้เครื่องยนต์ดับและสตาร์ทไม่ติดนั่นเอง

ท่อไอเสียคืออะไร

น้ำเข้าท่อไอเสียเป็นไรไหม

ผู้ใช้รถหลายรายมักมีการตั้งคำถามว่าน้ำเข้าท่อไอเสียเป็นอะไรหรือไม่ น้ำเข้าท่อไอเสียเครื่องยนต์จะต้องดับหรือไม่ และน้ำเข้าท่อไอเสียได้ประมาณไหนเครื่องยนต์ถึงจะไม่ดับ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ค้างคาใจใครหลายคน เนื่องจากรถยนต์ที่มีการใช้งานตามปกติทั่วไปในท้องถนนมักได้รับการติดตั้งท่อไอเสียให้มีระดับที่สูงกว่าพื้นดินในระยะประมาณ 30-50 เซนติเมตร หรือมากกว่านั้นหากเป็นรถออฟโรด หรือ รถบรรทุก 

• จอดรถในพื้นที่น้ำท่วมขัง เมื่อผู้ขับขี่ต้องจอดรถไว้ในบริเวณที่มีน้ำท่วมขังแล้วน้ำเข้าท่อไอเสียเพราะระดับน้ำมีการท่วมขังสูง หากเป็นน้ำที่ท่วมขังในลักษณะนี้มีความสูงไม่เกินจากระดับท่อไอเสียมากนักอาจมีน้ำเข้าไปค้างอยู่ภายในท่อไอเสียบ้าง โดยส่วนใหญ่แล้วจะขังอยู่ในบริเวณท่อพักไอเสียแต่ไม่ได้เข้าไปสู่ระบบเครื่องยนต์ ในกรณีนี้เมื่อผู้ขับขี่มีการสตาร์ทเครื่องยนต์แล้วขับขี่ตามปกติน้ำที่อยู่ภายในท่อพักไอเสียจะค่อยๆระเหยออกมาเนื่องจากความร้อนสะสมที่ไหลผ่านภายในท่อไอเสียและแรงอัดของเครื่องยนต์ที่ส่งไอเสียออกมาจากท่อไอเสียทำให้น้ำที่อยู่ภายในท่อไอเสียออกมาด้วยนั่นเอง
• ขับรถลุยน้ำท่วมขัง เมื่อผู้ขับขี่ต้องขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมขังที่มีน้ำท่วมไม่เกิน 30 เซนติเมตร หรือ พอดีกับระดับท่อไอเสีย อาจมีน้ำเข้าไปภายในท่อไอเสียอยู่บ้างแต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อระบบเครื่องยนต์ เนื่องจากน้ำจะเข้าไปอยู่บริเวณท่อพักไอเสียแล้วเมื่อรถขับพ้นมาจากจุดที่น้ำท่วมขังน้ำจะระเหยออกไปได้เองเพราะความร้อนจากท่อไอเสียและแรงอัดภายในท่อไอเสียจะขับไล่น้ำออกมาได้นั่นเอง 
• ขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมสูง ในกรณีที่ผู้ขับขี่มีการใช้งานรถขับลุยพื้นที่น้ำท่วมขังที่มีน้ำท่วมสูงเกินกว่าระดับท่อไอเสียขึ้นไปจนถึงระดับเครื่องยนต์ อาจมีความเสี่ยงต่อการพบเจอเข้ากับเหตุการณ์เครื่องยนต์ดับได้ เนื่องจากหากมีน้ำเข้าไปภายในท่อไอเสียจะทำให้รถเร่งไม่ขึ้นแรงตกและน้ำเข้าสู่เครื่องยนต์ส่งผลให้เครื่องยนต์ดับไปโดยปริยาย อย่างไรก็ตามเมื่อต้องขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมขังต้องระวังไม่ให้น้ำเข้าท่อไอเสียมากที่สุด เพราะในบางครั้งเมื่อน้ำมีการเข้าไปในท่อไอเสีย หรือ ท่อไอดีแล้วเครื่องยนต์จะดับลงในทันที เพราะระบบเครื่องยนต์ไม่สามารถที่จะทำการจุดระเบิดได้เพราะหัวฉีดและห้องเผาไหม้มีน้ำเข้าไปท่วมขังอยู่นั่นเอง

น้ำเข้าท่อไอเสียเป็นไรไหม

รถโดนน้ำเข้าท่อไอเสียทำอย่างไร

เมื่อรถโดนน้ำเข้าท่อไอเสีย ในสถานการณ์ที่ผู้ขับขี่ต้องขับรถเข้าไปในพื้นที่มีน้ำท่วมขังและระดับน้ำอยู่ในปริมาณที่พอดีกับท่อไอเสีย หรือ เลยระดับท่อไอเสียขึ้นมาไม่มากก็ไม่ต้องกังวลมากนัก เนื่องจากระดับน้ำในปริมาณดังกล่าวจะไม่ส่งผลเสียอะไรกับเครื่องยนต์ เพราะน้ำที่เข้าไปภายในท่อไอเสียจะถูกจำกัดอยู่ในบริเวณท่อพักไอเสีย เมื่อผู้ขับขี่ขับรถจนเลยจุดที่น้ำท่วมขังออกมาแล้วน้ำที่อยู่ภายในท่อไอเสียเหล่านั้นจะถูกขับออกมาจากแรงดันภายในท่อไอเสียตามปกติ หรือ สามารถที่จะระเหยออกไปได้เองด้วยความร้อนภายในท่อไอเสียที่มีอยู่มากนั่นเอง 

ส่วนในกรณีที่รถโดนน้ำเข้าท่อไอเสียในปริมาณที่มากจนน้ำเข้าสู่ท่อไอดีจะส่งผลให้เครื่องยนต์เร่งไม่ขึ้น แรงตก และเครื่องยนต์ดับในที่สุดเนื่องจากเครื่องยนต์ไม่สามารถที่จะระบายไอเสียออกมาจากเครื่องยนต์ได้รวมไปถึงการจุดระเบิดและสันดาปภายในเครื่องยนต์ไม่สามารถที่จะทำได้จนเป็นเหตุให้เครื่องยนต์ดับลงนั่นเอง ในกรณีนี้ผู้ขับขี่ไม่ควรสตาร์ทเครื่องยนต์เนื่องจากน้ำที่ค้างอยู่ภายในท่อไอเสียและท่อไอดีจะเข้าสู่ระบบเครื่องยนต์โดยตรงจนทำให้ลูกสูบ ข้อเหวี่ยง แหวนลูกสูบ หรือ ระบบต่างๆภายในเครื่องยนต์ได้รับความเสียหายไปด้วยจึงควรจอดรถและเปิดไฟฉุกเฉินเพื่อรอการช่วยเหลือ หรือ ให้รถยนต์คันอื่นซึ่งสามารถขับรถลุยน้ำในบริเวณนั้นได้ทำการลากรถออกจากพื้นที่น้ำท่วมขังต่อไป นอกจากนี้แล้วภายหลังจากที่ผู้ขับขี่ขับรถไปจนถึงเป้าหมายแล้วควรทำการล้างทำความสะอาดรถโดยเร็วเนื่องจากหากมีน้ำเกาะอยู่กับรถจะส่งผลให้มีสนิมเกาะกินได้ง่ายและทำให้ระบบห้ามล้อมีการทำงานที่ผิดปกติไปด้วย

อ่านเพิ่มเติม: สาเหตุที่น้ำเข้ารถยนต์ พร้อมการแก้ไข

ขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมต้องทำอย่างไร

เมื่อผู้ขับขี่ต้องขับรถเข้าไปในเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังควรระมัดระวังไม่ให้น้ำเข้าท่อไอเสียเพื่อป้องกันเครื่องยนต์ดับ แต่หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ก็สามารถนำวิธีการขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมไปปรับใช้ได้

1.ประเมินเส้นทางและหลีกเลี่ยงพื้นที่น้ำท่วมขัง

หากผู้ขับขี่ต้องขับรถเข้าไปในเส้นทางที่มีน้ำท่วมขังหากประเมินว่ารถของท่านมีขนาดที่ไม่สูงกว่าระดับน้ำท่วมมากนักและท่อไอเสียต้องจมอยู่ในน้ำให้ทำการหลีกเลี่ยงเส้นทางดังกล่าว หรือ เปลี่ยนเส้นทาง เนื่องจากผู้ขับขี่จะไม่สามารถรับรู้ได้ว่าเส้นทางดังกล่าวมีน้ำท่วมขังลึกอยู่ประมาณเท่าไรการเลี่ยงไปใช้เส้นทางอื่นจึงดูจะเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องมากที่สุด

2.ปิดระบบปรับอากาศ

การขับรถยนต์ในพื้นที่น้ำท่วมลุยน้ำท่วมควรปิดระบบปรับอากาศภายในรถเพื่อไม่ให้ระบบปรับอากาศทำการดูดอากาศที่มีส่วนผสมของน้ำเข้ามาภายในคอมเพรสเซอร์ หรือ เข้ามาในระบบปรับอากาศด้วยนั่นเอง 

3.ลดกระจกลง หรือ เปิดกระจก

เนื่องจากรถยนต์ในบางรุ่นมีการติดตั้งระบบปรับเลื่อนระดับกระจกได้ด้วยไฟฟ้า หากรถดับในขณะลุยน้ำอยู่จะไม่สามารถเปิดกระจกได้ 

4.ใช้เกียร์ต่ำ

ในขณะที่ผู้ขับขี่ต้องขับรถผ่านพื้นที่น้ำท่วมควรใช้เกียร์ต่ำ และแตะคันเร่งเบาๆในระยะความเร็วที่ไม่สูงมากนักและไม่ควรที่จะผ่อนคันเร่งเพื่อป้องกันเครื่องยนต์ดับ ถ้าหากเครื่องยนต์ดับผู้ขับขี่ก็ไม่ควรฝืนสตาร์ทเครื่องยนต์อีกเพราะยิ่งจะทำให้น้ำเข้าไปภายในระบบเครื่องยนต์มากยิ่งขึ้น 

5.ระวังไม่ให้น้ำเข้าท่อไอเสีย

ในระหว่างที่ขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมต้องหมั่นสังเกตว่ามีน้ำเข้าท่อไอเสียหรือไม่ หากมีน้ำเข้าไปภายในท่อไอเสียอาจมีเสียดังออกมาจากบริเวณท่อไอเสียเพราะเครื่องยนต์ไม่สามารถส่งไอเสียที่เหลือจากการสันดาปถ่ายเทออกไปทางท่อไอเสียได้ จนทำมให้เครื่องยนต์แรงตก เร่งไม่ขึ้นและดับไปในที่สุด

6.ล้างทำความสะอาดรถเมื่อถึงจุดหมาย

เมื่อผู้ขับขี่ขับรถลุยพื้นที่น้ำท่วมจนถึงเป้าหมายแล้วให้ทำการล้างทำความสะอาดรถ เนื่องจากน้ำท่วมขังมีส่วนผสมของเศษวัสดุ ดิน หรือ ทราย ที่ติดมากับน้ำท่วมหากปล่อยทิ้งไว้ไม่ล้างทำความสะอาดรถย่อมทำให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดสนิมได้

รถโดนน้ำเข้าท่อไอเสีย

สำหรับผู้ที่มีความสนใจเคล็ดลับในการใช้รถ น้ำเข้าท่อไอเสียส่งผลเสียอย่างไร รถโดนน้ำเข้าท่อไอเสียต้องทำอย่างไร น้ำเข้าท่อไอเสียเป็นไรไหม ค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมพร้อมเคล็ดลับในการแก้ปัญหาน้ำเข้าท่อไอเสียได้ที่ Khaorodnissan.com

เบาะหนังรถยนต์ถือเป็นส่วนประกอบภายในห้องโดยสารที่มีความสำคัญและต้องมีการบำรุงรักษาอยู่ตลอด สำหรับน้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ 2023 มีรุ่นใดน่าสนใจบ้าง พร้อมแนะนำการเลือกน้ำยาขัดเบาะหนังให้เหมาะกับรถมากที่สุด

เบาะหนังรถยนต์นับเป็นอุปกรณ์ที่ช่วยเพิ่มความหรูหราให้กับรถ กอปรกับช่วยให้ผู้ขับขี่มีความผ่อนคลายเมื่อได้นั่งบนเบาะหนังที่มีความนุ่ม สะอาด และเงางาม การดูแลความสะอาดของเบาะหนังนั้นก็มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน เนื่องจากเบาะหนังเมื่อผ่านการใช้งานในระยะเวลายาวนานและไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ดีย่อมส่งผลให้เบาะหนังมีริ้วรอยของกาลเวลาและไม่สวยงามชวนนั่งเหมือนแต่ก่อน ทั้งนี้การบำรุงรักษาเบาะหนังนั้นมีส่วนประกอบที่สำคัญ คือ น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ ปัจจุบันมีให้เลือกใช้งานในหลากหลายยี่ห้อในราคาที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับคุณภาพของน้ำยาขัดเบาะหนังในหลากหลายราคาตั้งแต่หลักร้อยบาทไปจนถึงหลักพันบาท อย่างไรก็ตามเมื่อผู้ขับขี่ต้องการที่จะเลือกใช้งานน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ก็ต้องเลือกให้เข้ากับชิดของเบาะหนังและคราบสกปรก หรือ รอยด่างต่างๆบนเบาะซึ่งน้ำยาขัดเบาะหนังในแต่ละยี่ห้อจะมีจุดเด่นที่แตกต่างกันออกไปนั่นเอง สำหรับเทคนิคการเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ให้เหมาะกับเบาะในรถของท่านมากที่สุด

“เบาะหนังรถยนต์” มีรูปแบบใดบ้าง

ปัจจุบันรถยนต์ในหลากหลายค่ายโดยเฉพาะรถที่ถูกจัดอยู่ในรุ่นรองท็อป รุ่นท็อปสุด และรถในกลุ่มลัคชูรี่คาร์รวมไปถึงคลาสสิกคาร์มักที่จะได้รับการติดตั้งเบาะหนังเข้ามาในกลุ่มรถเหล่านี้แทนที่เบาะที่ผลิตจากวัสดุผ้า โดยคุณสมบัติเด่นของเบาะหนังนั้นเป็นตัวช่วยให้ห้องโดยสารมีความหรูหราที่เพิ่มมากกยิ่งขึ้น กอปรกับทำให้รถดูมีระดับถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มลัคชูรี่คาร์เกรดพรีเมี่ยม อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความประทับใจให้แก่ผู้โดยสารและผู้ขับขี่ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ปัจจุบันเบาะหนังที่มีใช้งานกันอยู่ได้รับการผลิตขึ้นมาจากหนังที่สามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท ดังนี้

1.เบาะหนังแท้

เบาะหนังแท้

เบาะหนังแท้ถือเป็นเบาะที่มีราคาแพงและมักจะได้รับการติดตั้งเข้ามาในรถยี่ห้อหรูรุ่นต่างๆซึ่งช่วยเพิ่มความหรูหราให้แก่ห้องโดยสารได้อย่างมาก เบาะนั่งหนังแท้ได้รับการผลิตจากหนังสัตว์แล้วนำมาเข้าสู่กระบวนการฟอกหนังเพื่อนาผลิตเป็นเบาะหนังในขั้นตอนต่อไป สำหรับเบาะหนังแท้มีราคาค่อนข้างสูงจึงต้องใช้การดูแลอย่างพิถีพิถันเป็นอย่างมาก เนื่องจากคุณสมบัติเด่นของเบาะหนังแท้มีความนุ่มนวลสูงและมีความสวยงามตามธรรมชาติด้วยเป็นเบาะที่มีการผลิตขึ้นจากหนังแท้นั่นเอง เมื่อใช้งานไประยะเวลาหนึ่งและไม่ได้รับการดูแลรักษาเท่าที่ควรเบาะนั่งประเภทนี้มักจะมีกลิ่นอับจากความชื้นส่งผลให้ภายในห้องโดยสารเหม็นกลิ่นอับไปด้วยนั่นเอง กอปรกับในบางครั้งหากมีความอับชื้นอย่างต่อเนื่องย่อมส่งผลที่จะทำให้เกิดราได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นการเลือกใช้งานน้ำยาจัดเบาะหนังในรถยนต์ประเภทนี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เพราะจะต้องใช้ในปริมาณที่น้อยเพื่อไม่ให้เบาะหนังแท้ถูกทำลายจากน้ำยาขัดเบาะหนังที่มีฤทธิ์เป็นกรดและช่วยรักษาสภาพของหนังให้มีความเงางามอยู่ตลอดนั่นเอง

2.เบาะหนังเทียม

เบาะหนังเทียม

เบาะหนังเทียมนับเป็นเบาะนั่งรถยนต์อีกรูปแบบหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากค่ายรถยนต์หลากหลายค่ายนำมาติดตั้งในรถยนต์รุ่นที่ได้รับความนิยมในตลาดเป็นอย่างมาก มีราคาที่ถูกกว่าเบาะหนังแท้อยู่พอสมควร ทั้งนี้เบาะหนังเทียมได้รับการผลิตขึ้นมาจากวัสดุสังเคราะห์ที่มีส่วนผสมของพลาสติกส่งผลให้เบาะนั่งชิดนี้เสื่อมสภาพค่อนข้างยากและง่ายต่อการบำรุงรักษา เนื่องจากเบาะนั่งชิดนี้ไม่ค่อยดูดซับความชื้นมากนักจึงไม่ค่อยมีปัญหากลิ่นอับสะสมในเบาะ แต่ก็มีข้อด้อยอยู่ที่หากจอดรถอยู่กลางแจ้งและภายในห้องโดยสารมีอุณหภูมิสูงอยู่บ่อยครั้งก็อาจทำให้เบาะหนังประเภทนี้มีการฉีดขาด หรือ เสื่อมสภาพได้โดยง่าย เพราะฉะนั้นหากเบาะในรถของท่านเป็นเบาะหนังเทียมก็ควรที่จะหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับความร้อนโดยตรงและดูแลรักษาด้วยน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ที่มีความเหมาะสมกับเบาะหนังเทียมนั่นเอง

เลือกน้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ให้เหมาะกับรถคุณ

การเลือกใช้น้ำยาขัดเบาะหนังให้เหมาะกับสภาพของเบาะหนังในแต่ละประเภทนั้นมีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยส่วนใหญ่แล้วน้ำยาขัดเบาะหนังจะถูกแยกออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ 

• น้ำยาขัดเบาะหนังแบบน้ำ น้ำยาขัดเบาะประเภทนี้มักจะถูกบรรจุออกมาในรูปแบบขวดสเปรย์แล้วทำการฉีดลงบนฟองน้ำแล้วจึงทำการเช็ดถูลงไปบนเบาะเพื่อให้เกิดความเงางามขึ้นบนเบาะหนังและผู้ใช้งานสามารถที่จะขัดได้อย่างง่ายดายจึงได้รับความนิยมสูงนั่นเอง
• น้ำยาขัดเบาะหนังแบบโฟม สำหรับน้ำยาขัดเบาะหนังแบบโฟมที่เรามักจะพบเห็นได้บ่อยในท้องตลาดมีราคาจำหน่ายที่สูงกว่าน้ำยาขัดเบาะหนังแบบน้ำมีลักษณะเป็นขวด โดยมีวิธีการใช้งานที่ไม่ยากเย็นนักเพียงแค่บีบขวดเทน้ำยาออกมาซึ่งมีลักษณะเป็นโฟมขาวใส่ลงในฟองน้ำแล้วนำไปเช็ดลงบนเบาะหนังในรูปแบบการถูในลักษณะก้นหอยเบาะหนังในรถของท่านก็จะได้รับความเงางามมากยิ่งขึ้น อีกทั้งน้ำยาขัดเบาะหนังแบบโฟมในบางยี่ห้อยังมีคุณสมบัติเด่นในการขจัดคราบสกปรกที่ฝังแน่นติดบนเบาะนั่งอีกด้วย

สำหรับน้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ในแต่ละยี่ห้ออาจมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าผู้ใช้งานมีความประสงค์จะขัดเบาะในรูปแบบใด เนื่องจากน้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังบางยี่ห้อถูกออกแบบมาให้ขจัดคราบฝังลึกที่อยู่ภายในเบาะหนังได้ดีแต่ไม่ได้ช่วยให้เบาะหนังมีความเงางามมากขึ้น ส่วนน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์บางยี่ห้อก็ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อขัดเคลือบให้เบาะหนังรถยนต์มีความเงางามขึ้นเท่านั้นแต่ไม่ได้ช่วยบำรุงรักษาเบาะหนังและขจัดคราบสกปรกที่ติดฝังแน่นนั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรเลือกใช้น้ำยาขัดเบาะหนังที่มีคุณสมบัติขัดเคลือบเบาะหนังให้มีความเงางาม พร้อมทั้งขจัดคราบสกปรกที่ฝังแน่นอยู่บนเบาะหนังและช่วยรักษาเบาะหนังไม่ให้เสื่อมสภาพเร็วนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: การขัด เบาะ หนัง การทำความสะอาดเบาะหนัง

เลือกใช้น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ยี่ห้อไหนดี

สำหรับน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ที่ได้รับความนิยมมีอยู่ด้วยกันหลากหลายยี่ห้อและมีคุณสมบัติเด่นที่แตกต่างกัน Khaorodnissan ได้คัดเลือกเอาน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ยี่ห้อที่ได้รับความนิยมในเมืองไทย 5 ยี่ห้อ ดังนี้

1.น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Waxy

Waxy ถือเป็นน้ำยาขัดเบาะหนังที่ได้รับความนิยมในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติเด่นเป็นตัวช่วยในการยืดอายุของเบาะหนังรถยนต์ให้ยาวนานยิ่งขึ้น เสริมความแข็งแกร่ง ป้องกันแสงแดด ช่วยให้หนังไม่แตกร้าวและไม่ซีดจางได้ง่าย อีกทั้งยังช่วยป้องกันฝุ่นละอองและคราบสกปรกเกาะจับได้ดี คงความสวยงามหรูหรามีระดับ และเพิ่มอายุการใช้งานให้กับเบาะหนังรถยนต์ โดยมีราคาจำหน่ายประมาณ 100 บาท 

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Waxy

2.น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Cerax Wax 

Cerax Wax น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ที่ได้รับความนิยมอีกยี่ห้อหนึ่งมีคุณสมบัติเด่นในการช่วยเคลือบเงาเบาะหนังให้มีความยาวนานเพิ่มมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังช่วยถนอมเบาะหนังให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน โดยมีลักษณะเป็นสเปรย์ฉีดพ่นที่สามารถใช้งานได้อย่างง่ายดายและช่วยเปลี่ยนเบาะหนังเก่าให้กลับมาเงางามเหมือนใหม่อีกครั้ง โดยมีราคาจำหน่ายประมาณ 159 บาท

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Cerax Wax

3.น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ 3M

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ 3M น้ำยาขัดเบาะหนังที่มีคุณสมบัติพิเศษและได้รับความนิยมจากผุ้ใช้งานรถยนต์จากทั่วประเทศอีกยี่ห้อหนึ่ง เนื่องจากคุณสมบัติเด่นช่วยดูแลรักษาเบาะหนังรถยนต์ให้มีสภาพเงางามอยู่โดยตลอด อีกทั้งยังช่วยปกป้องให้เบาะหนังไม่แตกลายงาและขจัดคราบสกปรกต่างๆที่ติดอยู่บนเบาะหนังได้เป็นอย่างดีอีกด้วย โดยมีราคาจำหน่ายเริ่มต้นประมาณ 175 บาท

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ 3M

4.น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Karshine

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Karshine นับว่าเป็นผลิตภัณ์ทำความสะอาดเบาะหนังที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในเมืองไทยอีกยี่ห้อหนึ่งด้วยคุณสมบัติพิเศษที่สามารถเคลือบเบาะหนังรถยนต์ให้มีความเงางามได้ในระยะเวลานาน อีกทั้งยังช่วยปกป้องเบาะหนังจากแสงแดดและช่วยยืดอายุการใช้งานเบาะหนังให้เพิ่มมากยิ่งขึ้น โดยมีราคาจำหน่ายประมาณ 125 บาท

น้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์ Karshine

5.น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ Meguiars

น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ Meguiars นับเป็นน้ำยาขัดเบาะหนังรถยนต์อีกนี่ห้อหนึ่งที่ได้รับความนิยมจากผุ้ใช้งานมาอย่างยาวนาน ด้วยคุณสมบัติเด่นในการทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ได้อย่างดีเยี่ยม ขจัดคราบฝังลึกที่ติดแน่นและเพื่อป้องกันกลิ่นไม่พึงประสงค์ที่เกิดจากความอับชื้นของเบาะหนังรถยนต์ได้อีกด้วย โดยมีราคาจำหน่ายประมาณ 528 บาท

น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ Meguiars

สำหรับผู้ที่มีความสนใจเคล็ดลับการเลือกใช้น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ 2023 น้ำยาทำความสะอาดเบาะหนังรถยนต์ยี่ห้อใดน่าสนใจมากที่สุด พร้อมเคล็ดลับการดูแลรักษารถสามารถค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Khaorodnissan.com

น้ำมันเครื่องถือว่าเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญช่วยให้เครื่องยนต์มีการทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หากน้ำ มัน เครื่องหมดอายุจะทราบได้อย่างไร พร้อมแนวทางการสังเกตน้ำมันเครื่องแท้ หรือ ปลอม

การใช้งานรถขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ตั้งแต่อดีตตราบถึงปัจจุบันต้องมีการนำน้ำมันเครื่องเข้ามาเป็นส่วนประกอบที่สำคัญในการช่วยให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างราบรื่นและเต็มประสิทธิภาพ อย่างไรก็ตามน้ำมันเครื่องที่เรามักพบเห็นกันอยู่นี้มีให้เลือกหลากหลายรูปแบบทั้งน้ำมันเครื่องสำหรับรถยนต์ น้ำมันเครื่องรถจักรยานยนต์ พร้อมค่าความหนืดที่มีความแตกต่างกันไปตามแต่คุณสมบัติของน้ำเครื่องมีการแบ่งประเภทน้ำมันเครื่องเอาไว้ 3 รูปแบบ ได้แก่ น้ำมันเครื่องธรรมดา น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ซึ่งสามารถแบ่งแยกออกได้ตามค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องในแต่ละชนิดนั่น หรือ สามารถที่จะทำความเข้าใจได้ง่ายๆว่าน้ำมันเครื่องที่มีค่าความหนืดสูงก็ยิ่งสามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้ดียิ่งขึ้นนั่นเอง ทั้งนี้เมื่อมีการใช้งานน้ำมันเครื่องมาระยะหนึ่ง น้ำมันเครื่องที่ถูกเติมลงไปก็จะมีการเสื่อมสภาพลงตามอายุ น้ำ มัน เครื่องซึ่งผู้ขับขี่สามารถที่จะสังเกตน้ำ มัน เครื่อง หมดอายุได้ง่ายๆด้วยตนเอง 

น้ำมันเครื่องคืออะไร 

หลายคนมักตั้งคำถามถึงว่าน้ำมันเครื่องคืออะไร มีความสำคัญอย่างไรกับเครื่องยนต์ หากไม่เติมน้ำมันเครื่องรถจะสามารถขับเคลื่อนไปได้หรือไม่ เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ผู้ใช้รถมักจะสงสัยอยู่เสมอ ทั้งนี้น้ำมันเครื่องเปรียบเสมือนสารหล่อลื่นที่ใช้สำหรับเคลือบเครื่องยนต์และหล่อลื่นให้เครื่องยนต์สามารถทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะ อีกทั้งน้ำมันเครื่องยังมีคุณสมบัติในการลดแรงเสียบทานเมื่อเครื่องยนต์มีการทำงานอีกด้วย เนื่องจากในขณะที่ทำการขับขี่รถยนต์เครื่องยนต์จะต้องมีการทำงานหนักแลชิ้นส่วนโลหะต่างๆมีการเสียดสีกันอยู่โดยตลอด เพื่อเป็นการช่วยลดแรงเสียดทานของชิ้นส่วนต่างๆที่มีการเสียดสีกันจนเกิดความร้อนจึงต้องใช้น้ำมันเครื่องเข้ามาเป็นตัวหล่อลื่นนั่นเอง นอกจากนี้แล้วน้ำมันเครื่องยังช่วยในการยืดอายุชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์และทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และทำให้เครื่องยนต์เกิดการเผาไหม้ได้อย่างเต็มสมรรถนะทำให้มีอัตราการใช้น้ำมันเชื้อเพลิงในประมาณที่น้อยนั่นเอง

ประโยชน์ของน้ำมันเครื่อง

• ช่วยยืดอายุของเครื่องยนต์
• เครื่องยนต์ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
• ช่วยให้อัตราการเผาไหม้ภายในเครื่องยนต์ทำได้อย่างเต็มสมรรถนะ
• กำจัดคราบสนิมและสิ่งสกปรกภายในเครื่องยนต์
• หล่อลื่นและบำรุงรักษาชิ้นส่วนโลหะภายในเครื่องยนต์
• ช่วยลดความร้อนสะสมภายในชิ้นส่วนต่างๆของเครื่องยนต์
• กำจัดคราบเขม่าควันภายในเครื่องยนต์

น้ำมันเครื่องมีกี่ประเภท

สำหรับประเภทของน้ำมันเครื่องหลักๆแล้วที่มีการใช้งานกันอยู่ถูกจำแนกออกได้เป็น 3 ประเภท ได้แก่ น้ำมันเครื่องธรรมดา ม น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ และ น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ มีรายละเอียดดังนี้

• น้ำมันเครื่องแบบธรรมดา Mineral Oil ถูกจัดให้เป็นน้ำมันเครื่องที่มีการสกัดมาจากน้ำมันปิโตรเลียมตามธรรมชาติโดยใช้วิธีการสกัดออกมาจากน้ำมันดิบตามขั้นตอนปกตินั่นเอง อายุ น้ำ มัน เครื่อง สามารถใช้งานได้ประมาณ 5,000-7,000 กิโลเมตร
• น้ำมันเครื่องกึ่งสังเคราะห์ Semi Synthetic ถือเป็นน้ำมันเครื่องที่ถูกทำการสกัดขึ้นมาระหว่างน้ำมันดิบตามธรรมชาติผสานกับน้ำมันเครื่องสังเคราะห์เพื่อมีจุดมุ่งหมายในการเพิ่มประสิทธิภาพในการหล่อลื่นชิ้นส่วนต่างๆภายในเครื่องยนต์และปกป้องเครื่องยนต์ได้ดีกว่าน้ำมันเครื่องในรูปแบบแรก อายุ น้ำ มัน เครื่อง สามารถใช้งานได้ประมาณ 7,000-10,000 กิโลเมตร
• น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ Full Synthetic ถือเป็นน้ำมันเครื่องที่จัดอยู่ในระดับที่ดีที่สุด โดยใช้กรรมวิธีในการผลิตที่ได้จากการสังเคราะห์น้ำมันเครื่องด้วยเทคโนโลยีชั้นสูง ผ่านการวิเคราะห์และกำหนดค่าความหนืดที่อยู่ในระดับสูงสุดและมีความบริสุทธิ์มากกว่าน้ำมันเครื่องในทั้ง 2 ชนิด สามารถปกป้องเครื่องยนต์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยให้การจุดระเบิดภายในห้องเครื่องทำงานได้อย่างเต็มสมรรถนะอายุ น้ำ มัน เครื่อง สามารถใช้งานได้ในระยะ 10,000-15,000 กิโลเมตร

อ่านเพิ่มเติม: เติมน้ำมันเครื่องผิด ทำให้เครื่องยนต์พังจริงหรือ ?!?

แนะนำเทคนิคเลือกน้ำมันเครื่อง

ปัจจุบันน้ำมันเครื่องมีให้เลือกใช้งานในหลาหลายแบรนด์ซึ่งมีคุณสมบัติในการบำรุงรักษาและหล่อเลื่อนการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆภายในเครื่องยนต์ที่แตกต่างกันไปตามระดับค่าของความหนืด “เบอร์ของน้ำมันเครื่อง” เปรียบเสมือนเป็นเกรดของน้ำมันเครื่องผสานกับระดับในการผลิตของน้ำมันเครื่องซึ่งสามารถที่จะทราบได้จากค่าเหล่านี้ซึ่งมีการระบุเอาไว้ที่บริเวณด้านข้างของแกลลอนน้ำมันเครื่อง ทั้งนี้ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบตัวเลขดังกล่าวพร้อมกับคุณสมบัติของน้ำมันเครื่องในชนิดนั้นๆอย่างละเอียด ทั้งนี้ค่าความหนืด หรือ Viscosity เปรียบเสมือนค่าต้านทานการไหลโดยมีตัวแปรเป็นอุณหภูมิซึ่งมีหลายหน่วยในการวัด เช่น ระบบเมตริก และ เซนติกโตส โดยการวัดค่าความหนืดของน้ำมันเครื่องนั้นเป็นไปตามหลักสากลที่มีการระบุกันเอาไว้ 

เทคนิคเลือกน้ำมันเครื่อง

ส่วนเบอร์น้ำมันเครื่องมีตั้งแต่เบอร์ 0-60 การวัดค่าความหนืดนั้นจะทำการวัดกันที่ 100 องศาเซลเซียสซึ่งจะได้ออกมาเป็นค่าความหนืดแล้วใช้แทนค่าออกมาเป็นเบอร์ของน้ำมันเครื่องเพื่อกำหนดเป็นค่ามาตรฐานสากลเหมือนกันทั่วโลก อีกทั้งในทุกๆสถาบันที่ทำการวิจัยเกี่ยวกับน้ำมันเครื่องก็จะใช้ตัวเลขดังกล่าวแทนค่าความหนืดออกมาเป็นตัวเลขบอกเกรดของงน้ำมันเครื่อง เช่น 60 , 50 , 40 , 30 , 20 , 10 และ 5 ยิ่งค่าของตัวเลขมากก็ยิ่งสร้างความหนืดมาก หากตัวเลขมีค่าน้อยก็ยิ่งมีความหนืดน้อยตามไปด้วย นอกจากนี้แล้วการผลิตน้ำมันเครื่องยังมีการระบุถึงความเหมาะสมในการใช้งานกับรถในแต่ละประเภท เช่น รถ NGV, รถ LPG หรือรถที่ใช้น้ำมันแก๊สโซลีน Gasoline 

น้ำ มัน เครื่อง หมดอายุ ทราบได้อย่างไร

น้ำมันเครื่องเมือถูกใช้งานไปในระยะเวลายาวนานและเครื่องยนต์มีการทำงานหนักอยู่โดยตลอดย่อมส่งผลให้น้ำ มัน เครื่อง หมดอายุ เสื่อมสภาพลงไปตามอายุการใช้งานนั่นเอง เนื่องจากน้ำมันเครื่องต้องใช้หล่อลื่นเครื่องยนต์ให้มีการทำงานตามปกติอยู่ทุกขณะที่ทำการติดเครื่องยนต์ เพราะฉะนั้นในเครื่องยนต์ที่รถมาอายุการใช้งานสูงย่อมมีคราบเขม่า หรือ คราบสนิมภายในเครื่องยนต์มาเป็นตัวทำให้น้ำมันเครื่องเสื่อมสภาพได้เร็ว กอปรกับอายุ น้ำ มัน เครื่องของรถในแต่ละรุ่นมีกรอบของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่มีการระบุเอาไว้ให้ผู้ขับขี่ทราบ หากผู้ขับขี่ไม่ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องย่อมมีความเสี่ยงต่อการที่น้ำมันเครื่องแห้งส่งผลทำให้เครื่องยนต์มีความร้อนสูงและไม่สามารถขับขี่ต่อไปได้ อีกทั้งการทำงานของชิ้นส่วนต่างๆภายในเครื่องยนต์ก็ไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเพราะน้ำมันเครื่องที่เป็นตัวเคลือบหล่อลื่นมีคุณภาพที่เสื่อมลงไป

ผู้ขับขี่สามารถที่จะตรวจสอบอายุ น้ำ มัน เครื่องในรถของท่านว่าอยู่ในระดับใด ควรเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องหรือไม่ได้ด้วยตนเอง ผ่านวิธีการตรวจเช็คไปที่ก้านวัดน้ำมันเครื่องซึ่งจะมีการระบุระดับของน้ำมันเครื่องเอาไว้ แต่ควรจอดรถในที่ราบเพื่อป้องกันไม่ให้การวัดระดับน้ำมันเครื่องผิดเพี้ยนไปและควรตรวจเช็คก่อนการสตาร์ทเครื่องยนต์เนื่องจากจะเป็นระดับที่ใกล้เคียงมากที่สุดแล้วจึงดึงก้านวัดน้ำมันเครื่องขึ้นมาตรวจสอบซึ่งในก้านวัดน้ำมันเครื่องของรถทุกคันจะมีขีดบอกระดับของน้ำมันเครื่อง อาทิ F , L หรือ Max , Min ในกรณีที่น้ำมันเครื่องอยู่

ในระดับกึ่งกลางระหว่าง F , L หรือ Max , Min แสดงว่าน้ำมันเครื่องอยู่ในระดับที่ปกติไม่มากเกินไปหรือน้อยจนเกินไป หากพบว่าน้ำมันเครื่องมีปริมาณที่น้อยเกินไป หรือ อยู่ในระดับ L หรือ Min ก็ควรทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่อง กอปรกับการสังเกตที่สีของน้ำมันเครื่องหากมีสีดำคล้ำ หรือ มีคราบสิ่งสกปรกติดมากับก้านวัดระดับน้ำมันเครื่องก็ควรทำการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องใหม่เพื่อให้เป็นไปตามวงรอบของการเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องนั่นเอง อย่างไรก็ตามนอกจากการตรวจสอบปริมาณของน้ำมันเครื่องซึ่งผู้ขับขี่ควรทำอยู่ตามปกติแล้วควรเลือกเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องที่มีคุณภาพสูงและเหมาะสำหรับการใช้งานกับเครื่องยนต์ของรถรุ่นนั้น เนื่องจากการเลือกใช้งานน้ำมนเครื่องคุณภาพดีจะเป็นตัวยืดอายุการใช้งานของเครื่องยนต์และทำให้การเผาไหม้ของเครื่องยนต์เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและลดอัตราการกินน้ำมันของเครื่องยนต์ลงไป

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่:https://khaorodnissan.com/

ได ชาร์จ เสีย เกิดขึ้นจากสาเหตุใด อาการไดชาร์ทเสียสามารถสังเกตได้หรือไม่ หากไดชาร์จ เสียในขณะที่กำลังทำการขับขี่มีเทคนิคในการกแก้ไขปัญหาอย่างไร พร้อมแนวทางในการบำรุงรักษาไดชาร์จ 

ไดชาร์จนับเป็นส่วนประกอบที่มีความสำคัญอีกชิ้นส่วนหนึ่งภายในห้องเครื่องยนต์ที่มีหน้าที่ในการปั่นกระแสไฟเพื่อเข้าไปเก็บในแบตเตอรี่และจ่ายกระแสไฟให้กับการทำงานของระบบต่างๆภายในเครื่องยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าเข้าไปเป็นแหล่งพลังงานในการทำให้ระบบนั้นทำงานได้ตามปกติ อาทิ แบตเตอรี่ ระบบไฟส่องสว่าง ระบบเครื่องยนต์ ระบบเครื่องเสียง ระบบล็อคประตูอัตโนมัติ ปุ่ม Push Start และชุดเครื่องเสียง เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นฟังก์ชั่นที่ต้องมีการนำไฟฟ้าเข้าไปขับเคลื่อนกลไกของระบบทำงานต่างๆอยู่โดยตลอด เมื่อไดชาร์จ เสีย หรือ มีการทำงานที่ผิดปกติย่อมส่งผลให้เครื่องยนต์ไม่ทำงานเพราะไม่มีไฟจ่ายไปยังแบตเตอรี่เพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้ได ชาร์จ เสีย อาการเป็นอย่างไร ผู้ขับขี่สามารถตรวจสอบได้จากตรงไหนสามารถค้นหาคำตอบได้ที่นี่

ได ชาร์จ คืออะไร

ไดชาร์จที่ได้รับการติดตั้งเข้ามาภายในระบบเครื่องยนต์ของรถยนต์ทำหน้าที่เปรียบเสมือนเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่ทำหน้าที่หลักในการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่ระบบการทำงานของฟังก์ชั่นต่างๆภายในรถยนต์ อาทิ ระบบเครื่องยนต์ , ระบบอินโฟเทนเมนท์ , เบาะนั่งแบบปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้า ,ระบบปรับอากาศ ภายในรถยนต์ ซึ่งต้องใช้ไฟจากไดชาร์จเข้ามาเป็นแหล่งพลังงานแทบทั้งสิ้น นอกจากการปั่นกระแสไฟฟ้าให้กับระบบต่างๆภายในรถยนต์แล้ว ไดชาร์จยังทำหน้าที่ในการส่งกระแสไฟที่เหลือกลับไปสู่หม้อแบตเตอรี่รถยนต์เพื่อให้สามารถใช้ในการฉุดสตาร์ทเครื่องยนต์ในการขับขี่ครั้งต่อไป และจ่ายไฟไปกักเก็บยังแบตเตอรี่เพื่อใช้ส่งกระแสไฟในระหว่างที่ผู้ขับขี่ต้องการใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆในระหว่างที่ดับเครื่องยนต์นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: แบตเตอรี่ รถยนต์ คืออะไร ! 

ไดชาร์จมีหลักการทำงานอย่างไร

หลักการทำงานของไดชาร์จนั้นจะไม่ได้มีความแตกต่างออกไปจากกันมากนัก เนื่องจากหน้าที่หลักของไดชาร์จทำหน้าที่ปั่นกระแสไฟและส่งกระแสไฟเข้าไปยังระบบอิเล็กทรอนิกส์ต่างๆภายในรถยนต์ ทั้งนี้ในระหว่างที่ผู้ขับขี่สตาร์ทเครื่องยนต์จนติดไดชาร์จจะเริ่มต้นการทำงานโดยอัตโนมัติ โดยอาศัยเครื่องยนต์ที่ส่งกำลังให้ข้อเหวี่ยงสายพานมาขับเคลื่อนให้ไดชาร์จหมุนเพื่อปั่นจ่ายไฟเข้ามาภายในรถยนต์ ซึ่งภายในไดชาร์จจะมีขดลวดทองแดง (ขดลวดไดนาโม) ที่ได้รับการหมุนและเหนี่ยวนำจนส่งผลให้เกิดกระแสไฟฟ้าขึ้น สำหรับไดชาร์จมีส่วนประกอบหลักๆ ได้แก่ ทุ่นแม่เหล็ก แปลงถ่าน และขดลวดไดนาโม หากไดชาร์จเสื่อม หรือ มีการทำงานที่ผิดพลาดจนไม่สามารถที่จะทำหน้าที่ในการปั่นกระแสไฟฟ้าส่งไปยังระบบต่างๆภายในเครื่องยนต์ได้รวมไปถึงหม้อแบตเตอรี่ซึ่งเปรียบเสมือนแหล่งไฟฟ้าสำรองภายในรถยนต์ เมื่อแบตเตอรี่มีไฟฟ้าที่ไม่เพียงพอก็ไม่สามารถที่จุส่งกระแสไฟฟ้าไปยังไดสตาร์ทเพื่อทำการฉุดให้เครื่องยนต์ติดได้นั่นเอง อย่างไรก็ตามอาการไดชาร์จเสียมักจะพบได้ในรถที่มีอายุการใช้งานมาอย่างนาวนาน รถเก่าที่ขาดการบำรุงรักษา และไดชาร์จมีการทำงานที่ผิดพลาดไปตามอายุของการใช้งาน

ได ชาร์จ เสีย รู้ได้อย่างไร

ได ชาร์จ เสีย รู้ได้อย่างไร

สาเหตุหลักที่ทำให้ได ชาร์จ เสียนั้นมาจากองค์ประกอบหลักสำคัญ 2 ประการ ได้แก่ ทุ่นแม่เหล็ก และ แปลงถ่าน หากชิ้นส่วนสำคัญเหล่านี้มีการเสื่อมสภาพไปตามอายุการใช้งานไดชาร์จจะไม่สามารถทำการปั่นไฟเพื่อส่งเข้าสู่ระบบต่างภายในรถยนต์ได้ ทั้งนี้ในกรณีที่รถมีอาการไดชาร์จเสียสามารถที่จะสังเกตได้ดังนี้

• สัญลักษณ์แบตเตอรี่แจ้งเตือนที่หน้าจอแสดงผลการขับขี่ สำหรับรถยนต์ทุกรุ่นจะมีการติดตั้งสัญลักษณ์รูปแบตเตอรี่ให้ที่บริเวณด้านล่างของหน้าจอแสดงผลการขับขี่ หากสัญลักษณ์ดังกล่าวมีไฟแจ้งเตือนขึ้นมาในขณะที่ท่านกำลังขับรถอยู่อาจมีสาเหตุมาจากระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ทำงานผิดปกติซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งก็มาจากไดชาร์จที่ไม่สามารถปั่นกระแสไฟได้ หรือ ไดชาร์จ เสีย
• แบตเตอรี่ใหม่แต่รถสตาร์ทไม่ติด ในกรณีที่ผู้ขับขี่มีการเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่แล้วเมื่อนำมาใช้งานปรากฏว่าเครื่องยนต์ยังคงสตาร์ทไม่ติดอยู่ดี หรือ ต้องใช้ระยะเวลานานในการสตาร์ทเครื่องยนต์ก็ควรตั้งข้อสังเกตไว้ว่ารถมีอาการไดชาร์จเสีย
• แบตเตอรี่หมดไฟเร็วกว่าปกติ ในกรณีที่ผู้ขับขี่พบว่าแบตเตอรี่หมดไฟไวกว่าที่ควรจะเป็นทั้งๆที่เพิ่งทำหารเปลี่ยนแบตเตอรี่มาใหม่อาจมีสาเหตุมาจากไดชาร์จ เสีย และไม่สามารถปั่นกระแสไฟส่งกลับไปยังแบตเตอรี่ได้ 
• ไดชาร์จเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน เมื่อผู้ขับขี่มีอายุการใช้งานรถยนต์ที่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี อาจประสบปัญหาอาการไดชาร์ทเสียได้เช่นกัน เพราะตามปกติแล้วไดชาร์จมีอายุการใช้งานอยู่ที่ 10 ปี
• ความร้อนจะเพิ่มขึ้นเนื่องจากไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายไปที่พัดลมหม้อน้ำ
• รอบเครื่องยนต์ตกและดับลงในที่สุด เมื่อทำการสตาร์ทไม่อีกครั้งก็ไม่สามารถสตาร์ทติดได้
• ระบบปรับอากาศภายในรถมีความเย็นลดลง
• พวงมากลัยพาวเวอร์ที่อาศัยการทำงานจากกระแสไฟฟ้าจะค่อยๆหนักขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากไดชาร์จไม่สามารถส่งกระแสไฟเข้าสู่ระบบอิเล็กทรอนิกส์ในการบังคับเลี้ยวพวงมาลัยได้นั่นเอง

ได ชาร์จ เสีย ขณะขับรถควรทำอย่างไร

ในขณะที่ผู้ขับขี่ใช้งานรถอยู่แล้วรถเกิดได ชาร์จ เสีย อาการจะมีให้เห็นอย่างเด่นชัด โดยผู้ขับขี่จะต้องพึงสังเกตถึงอาการความผิดปกติที่เกิดขึ้นภายในรถของท่าน อาทิ รอบเครื่องยนต์ตก ไฟสัญลักษณ์แบตเตอรี่ติดที่หน้าจอแสดงผลการขับขี่ ระบบไฟส่องสว่างมืดลง และระบบปรับอากาศหยุดการทำงานลงไปในที่สุดซึ่งผู้ขับขี่สามารถปรับตัวเข้ากับสถานการณ์นี้ได้ง่ายๆดังนี้ 

• ลดกระจกให้อากาศภายนอกเข้ามาในรถ สำหรับผู้ที่ใช้รถกระจกปรับระดับได้ด้วยไฟฟ้า หรือ กระจกออโต้ จะต้องทำการลดระดับกระจกลงก่อนเพื่อให้อาการภายนอกเข้าสู่ภายในตัวรถและสามารถทำให้อากาศภายในรถเพียงพอสำหรับการหายใจได้ 
• ลองเร่งเครื่องเพิ่มความเร็ว เมื่อไดชาร์จ เสียอาจส่งผลให้เครื่องยนต์มีการทำงานที่ผิดปกติอัตราการเร่งตก เร่งไม่ขึ้นและช้าลงไปเรื่อยๆ ในกรณีนี้ผู้ขับขี่ควรเร่งเครื่องยนต์เพื่อเพิ่มกระแสไฟจากไดชาร์จส่งผ่านเข้าสู่แบตเตอรี่เพิ่มมากยิ่งขึ้น
• ขับรถไปจอดในพื้นที่ปลอดภัย อย่างไรก็ตามเมื่อไดชาร์จ เสีย อาการเครื่องยนต์และระบบไฟภายในรถจะไม่ดับลงในทันทีแต่รถยังสามารถวิ่งอยู่ได้ในระยะทางไม่ต่ำกว่า 5-10 กิโลเมตร ผู้ขับขี่ควรควบคุมรถให้ไปจอดอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยและขอความช่วยเหลือจากเพื่อนร่วมทางในการแก้ไขปัญหาเบื้องต้น
• ปิดการใช้งานของระบบไฟในรถยนต์ เมื่อไดชาร์จเสียระบบไฟภายในรถยนต์ยังสามารถทำงานต่อไปได้ในระยะหนึ่งแต่ต้องอาศัยไฟสำรองจากแบตเตอรี่ซึ่งไม่มีกระแสไฟสำรองส่งไปกักเก็บยังแบตเตอรี่ได้อีกแล้วเพราะไดชาร์จ เสีย เพราะฉะนั้นจึงควรปิดการใช้งานของระบบไฟฟ้าที่ไม่มีความจำเป็นลงเพื่อกักเก็บไฟฟ้าเอาไว้ให้มากที่สุด

อ่านเพิ่มเติม: แบตเตอรี่รถยนต์หมด ทําไง เรามีคำแนะนำ

แนะนำเทคนิคดูแลไดชาร์จ

• วัดแรงดันที่ขั้วของแบตเตอรี่เพื่อตรวจสอบค่ากระแสไฟที่ถูกจ่ายออกไปและกระแสไฟเข้าที่ถูกปั่นส่งมาจากไดชาร์จว่ามีความปกติดีหรือไม่
• หากรถจมน้ำ หรือ ขับรถลุยเส้นทางที่มีน้ำท่วมสูง จะต้องตรวจสอบไดชาร์จว่ามีคราบสนิมเข้าไปเกาะที่บริเวณขดลวดไดนาโมหรือไม่ซึ่งอาจส่งผลทำให้ได ชาร์จ เสียในที่สุดนั่นเอง
• ในกรณีที่รถสตาร์ทติดยากใช้ระยะเวลานานอาจลองรถเข้าสู่ศูนย์บริการที่ทีความน่าเชื่อถือเพื่อทำการตรวจสอบทุ่นแม่เหล็ก ขดลวดไดนาโม และแปลงถ่าน เมื่อแปลงถ่านมีอาการเสื่อมสภาพลง ขดลวดไดนาโมขาด หรือ ทุ่นแม่เหล็กเสื่อมอายุตามสภาพการใช้งานย่อมส่งผลให้มีอาการไดชาร์จเสียเกิดขึ้นจึงต้องทำการพันขดลวดไดนาโมใหม่และซ่อมแซมในส่วนที่สึกหรอเสียหายเพื่อให้ไดชาร์จกลับมาทำงานได้อย่างปกติอีกครั้ง

ระบบไล่ฝากระจกรถยนต์ถือเป็นอีกฟังก์ชั่นหนึ่งที่ช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถที่จะมองเห็นทัศนะในการขับขี่ได้ดีมากยิ่งขึ้น แนะนำวิธีการใช้งานระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์มีหลักการทำงานอย่างไรและมีความสำคัญหรือไม่

ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ปัจจุบันมักจะได้รับการติดตั้งเข้ามาในรถรุ่นใหม่แทบทุกรุ่น หรือ รถที่มีการขับขี่ในแถบประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวจัดก็จะได้รับการติดตั้งๆฟังก์ชั่นดังกล่าวนี้เข้ามาด้วย โดยระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์มีหน้าที่สำคัญในการช่วยไล่ฝ้าที่เกิดจากไอน้ำมาเกาะอยู่บริเวณกระจกรถยนต์ทั้งในกระจกด้านหน้าและกระจกด้านหลังเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถที่จะมองเห็นทัศนวิสัยภายนอกได้อย่างเด่นชัดและช่วยให้ไม่เกิดอุบัติเหตุในขณะที่ขับขี่รถยนต์ในช่วงเช้า หรือ ในขณะที่มีหมอกลงจัดอุณหภูมิต่ำจนทำให้เกิดหมอกขึ้นได้นั่นเอง กอปรกับรถรุ่นใหม่ที่มีการขับขี่ในประเทศที่มีอุณหภูมิหนาวจัดนั้นนอกจากการติดตั้งระบบไล่ฝ้าเพิ่มเข้ามาให้แล้วยังได้รับการติดตั้งระบบสร้างความอบอุ่นภายในรถเข้ามาให้อีกอีกด้วย ได้แก่ ระบบฮีตเตอร์  อย่างไรก็ตามในประเทศไทยที่มีอากาศร้อนชื้นฝนตกชุกไม่ได้รับการติดตั้งระบบฮีตเตอร์เพิ่มเข้ามาให้ แต่มีการติดตั้งระบบไล่ฝ้าเข้ามาแทนที่ ทั้งนี้ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์มีความสำคัญหรือไม่ และมีหน้าที่ในการทำงานอย่างไรสามารถติดตามได้ที่นี่

ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์มีความสำคัญหรือไม่

ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ที่ผู้ขับขี่มักจะพบได้ในรถรุ่นปัจจุบัน หรือ รถลัคชูรี่คาร์แบรนด์ดังรุ่นต่างๆที่มีการติดตั้งฟังก์ชั่นนี้เพิ่มเข้ามาให้ด้วยนั้นมีหน้าที่ในการไล่ฝ้าที่เกาะอยู่ทั้งในกระจกรถด้านหน้าและกระจกรถด้านหลังเพื่อช่วยให้ผู้ขับขี่สามารถมองเห็นทัศนวิสัยในทั้งด้านหน้าและด้านหลังในขณะที่มีฝนตกและมีอุณหภูมิที่ลดต่ำลง หรือ ขับรถในช่วงเช้าที่มีอากาศหนาวก็สามารถที่จะเปิดใช้งานระบบไล่ฝ้าเพื่อช่วยไล่ฝ้าบนกระจกผ่านเส้นลวดความร้อนที่มีการติดตั้งเอาไว้ในกระจกด้านหลัง ส่วนกระจกด้านหน้าเมื่อเปิดการใช้งานระบบไล่ฝ้าระบบปรับอากาศภายในรถจะทำหน้าที่ส่งลมที่มีอัตราความแรงสูงไปที่กระจกหน้าจนกระทั่งฝ้าลดลงและจางหายไปนั่นเอง อย่างไรก็ตามเมื่อมีการเปิดใช้งานระบบไล่ฝ้าแล้วควรปิดการใช้งานภายหลังจากที่ฝ้าหมดไปเพื่อให้กระจกไม่ร้อนจนเกินไปนั่นเอง

ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ทำงานอย่างไร

ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ทำงานอย่างไร

เมื่อผู้ขับขี่ใช้งานรถยนต์ในเส้นทางที่หมกลงจัด ฝนตกหนัก หรือ ทัศนวิสัยภายนอกไม่ดีก็สามารถที่จะเปิดการใช้งานระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ได้ เพียงสังเกตไปที่บริเวณคอนโซลแอร์ที่มีการติดตั้งปุ่มเปิดการใช้งานระบบไล่ฝ้าทั้งในกระจกด้านหน้าและกระจกด้านหลัง เพียงผู้ขับขี่กดปุ่มเปิดการใช้งานระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ก็จะเริ่มทำงานและไล่ฝ้าบนกระจกรถออกไปทั้งหมดนั่นเอง สำหรับวิธีการทำงานของระบบไล่ฝ้าของทั้งด้านหน้าและด้านหลังมีดังนี้

• ไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหน้า สำหรับสัญลักษณ์ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหน้าจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูคาดทับด้วยไอน้ำ เมื่อผู้ขับขี่เปิดไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหน้าระบบปรับอากาศรถยนต์ด้านหน้าจะทำการเป่ากระแสลมไปที่กระจกบังลมหน้าเพื่อไล่ฝ้าและเพิ่มความอบอุ่นให้กระจกบังลมด้านหน้าจนกระทั่งฝ้าที่มีการเกาะตัวอยู่บนกระจกมีการจางหายไปจนหมดแล้วจึงทำการปิดการใช้งานปุ่มไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหน้าลง

• ไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลัง สัญลักษณ์ระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคาดด้วยแถบลูกศรชี้ขึ้นด้านบน โดยมีหลักการทำงานง่ายๆเพียงแค่ผู้ขับขี่เปิดไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลังระบบไล่ฝ้าจะทำการปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไปให้แก่เส้นลวดที่มีลักษณะเป็นแถบสีแดงคาดอยู่บริเวณกระจกหลังเพื่อเพิ่มความร้อนตามแนวเส้นขดลวดเมื่อผ่านไปได้สักครู่หนึ่งขดลวดจะทำการสะสมความร้อนและกระจายความร้อนออกไปจนทั่วทั้งแผ่นกระรถยนต์ด้านหลังจนกระทั่งฝ้าที่เกาะอยู่บริเวณกระจกรถเริ่มจางหายลงไปในที่สุดนั่นเอง ภายหลังจากที่ทำการไล่ฝ้าออกไปจากกระจกรถด้านหลังจนสามารถมองเห็นทัศนวิสัยผ่านกระจกหลังได้อย่างชัดเจนดีแล้วควรปิดการทำงานของระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลังลงในทันทีเพื่อป้องกันกระจกแตกร้าวจากความร้อนสูงนั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: 5 ไฟเตือนหน้าปัดรถยนต์สำคัญที่คุณต้องรู้

เปิดไล่ฝ้าทิ้งไว้ได้หรือไม่

สำหรับการเปิดไล่ฝ้าทิ้งไว้จะส่งผลเสียให้แก่กระจกรถยนต์เป็นอย่างมาก เนื่องจากเมื่อผู้ขับขี่มีการเปิดไล่ฝ้ากระจกรถยนต์กระจกรถยนต์จะได้รับความร้อนโดยตรงโดยเฉพาะไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลังซึ่งมีการส่งความร้อนผ่านขดลวดทำความร้อนที่มีการติดตั้งเอาไว้เป็นแถบยาวคาดตั้งแต่ด้านบนจนถึงด้านล่างของกระจกรถด้านหลัง เมื่อมีความร้อนไปสะสมอยู่เป็นจำนวนมากแล้วผู้ขับขี่ยังไม่ปิดการทำงานของระบบไล่ฝ้าย่อมทำให้กระจกที่ได้รับความร้อนอย่างเต็มที่มีลักษณะที่บิดเบี้ยวหรือแตกร้าวลงได้ เพราะฉะนั้นจึงไม่ควรเปิดไล่ฝ้าทิ้งไว้ทั้งในไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหน้าและไล่ฝ้ากระจกรถยนต์ด้านหลังเพื่อป้องกันกระจกแตกร้าวเพราะความร้อนจากการเปิดไล่ฝ้าทิ้งไว้นั่นเอง

อ่านเพิ่มเติม: กระจกหน้ารถร้าวเกิดจากสาเหตุใด ขับต่อได้ไหม สามารถเคลมประกันได้หรือเปล่า

ไม่มีระบบไล่ฝ้ากระจกรถยนต์จะต้องทำอย่างไร

สำหรับผู้ขับขี่ที่มีการใช้งานรถยนต์รุ่นเก่า หรือ รถรุ่นใหม่ที่ไม่ได้มีการติดตั้งฟังก์ชั่นไล่ฝ้ากระจกรถยนต์เข้ามาให้ก็สามารถที่จะนำวิธีการแก้ปัญหาฝ้าบนกระจกรถยนต์ได้ง่าย เพียงแค่เปิดกระจกลงเล็กน้อยเพื่อให้อากาศภายนอกเข้ามาสู่ภายในห้องโดยสารแล้วทำการปรับระดับของแอร์ภายในรถให้เพิ่มอุณหภูมิมากยิ่งขึ้นก็จะทำให้ความร้อนจากแอร์ภายในรถผสานกับอากาศจากภายนอกรถมาเป็นตัวแปรให้อุรหภูมิมีค่าที่เท่ากันและช่วยให้ฝ้าที่กระจกรถยนต์จางหายลงไปได้ในที่สุดนั่นเอง

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่:https://khaorodnissan.com/

แนะนำหน้าที่ ของ แบตเตอรี่มีการทำงานอย่างไร หน้าที่ ของ แบตเตอรี่ แบตเตอรี่รถยนต์มีทั้งหมดกี่ประเภท แบตเตอรี่เสื่อมสภาพมีวิธีการสังเกตอย่างไร

แบตเตอรี่นับเป็นอีกส่วนประกอบหนึ่งในเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหลักๆแล้วแบตเตอรี่ทำหน้าที่ในการป้อนกระแสไฟฟ้าไปยังอุปกรณ์ต่างๆภายในรถยนต์เพื่อให้สามารถทำงานได้ อาทิ ไดสตาร์ท ระบบไฟส่องสว่าง ระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ หากแบตเตอรี่มีการทำงานที่ผิดพลาดก็ไม่สามารถที่จะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปยังไดสตาร์ทเครื่องยนต์เพื่อทำการจุดระเบิดและสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ ทั้งนี้ในกรณีที่แบตเตอรี่เสื่อมคุณภาพไม่ว่าด้วยสาเหตุใดก็ตามย่อมทำให้ไม่มีไฟฟ้าส่งเข้าไปยังไดสตาร์ทและทำให้สตาร์ทเครื่องยนต์ไม่ติด อย่างไรก็ตามสาเหตุที่ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม หรือ แบตหมด นั้นก็ประกอบไปด้วยสาเหตุหลากหลายประการทั้งจากการใช้งานของผู้ขับขี่โดยตรง คุณภาพของแบตเตอรี่ และแบตเสื่อมสภาพตามอายุการใช้งาน เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานรถยนต์จึงควรตรวจสอบแบตเตอรี่ก่อนการเดินทางไกลอยู่เสมอว่ามีความพร้อมสำหรับการใช้งานหรือไม่ 

แบตเตอรี่ คือ อะไร !

ผู้ใช้รถหลายรายมักมีการตั้งคำถามว่าแบตเตอรี่ คือ อะไร ! แท้ที่จริงแล้วแบตเตอรี่ รถยนต์ คือ ส่วนประกอบอีกชิ้นส่วนหนึ่งภายในห้องเครื่องยนต์ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยหน้าที่ ของ แบตเตอรี่ ใช้ในการจัดเก็บกระแสไฟฟ้าเพื่อส่งไปยังอุปกรณ์ต่างๆภายในรถยนต์ที่ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานเป็นหลัก อีกทั้งยังทำหน้าที่ในการจ่ายกระแสไฟในช่วงที่เครื่องยนต์ไม่มีการทำงาน หรือ ดับเครื่องยนต์นั่นเอง อาทิ การเปิดแอร์ในขณะที่ดับเครื่องยนต์ การเปิดระบบไฟภายนอกรถ การเปิดระบบไฟภายในห้องโดยสารเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ต้องใช้ไฟที่จ่ายมาจากแบตเตอรี่โดยตรงในการทำงานแทบทั้งสิ้น 

หน้าที่ ของ แบตเตอรี่

สำหรับหลักการทำงานของแบตเตอรี่ซึ่งจะทำหน้าที่ในการจัดเก็บประจุไฟฟ้า กอปรกับในขณะที่ผู้ขับขี่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์แบตเตอรี่จะทำการส่งกระแสไฟฟ้าไปสู่ไดสตาร์ทเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ให้ติดและในขณะเดียวกันแบตเตอรี่ก็จะได้รับการชาร์จเมื่อกระแสไฟฟ้าไหลกลับเข้าไปสู่หม้อแบตเตอรี่เพื่อทำการชาร์จไฟอยู่โดยตลอดที่เครื่องยนต์มีการทำงานอยู่นั่นเองส่งผลให้เมื่อผู้ขับขี่มีการดับเครื่องยนต์แต่ยังคงเปิดการทำงานของระบบไฟภายในรถอยู่แบตเตอรี่ก็จะมีการคายประจุไฟที่มีการกักเก็บเอาไว้ออกมาสู่ระบบที่ต้องการไฟฟ้านั้นๆ ส่วนในกรณีที่แบตเตอรี่เสื่อมก็จะไม่สามารถส่งกระแสไฟเข้าสู่ไดสตาร์ทเพื่อทำการสตาร์ทเครื่องยนต์ได้ หรือ ไฟส่องสว่างมีลักษณะที่หรี่ลงก็มีสาเหตุมาจากแบตเตอเรี่เสื่อมได้อีกเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม: แบตเตอรี่รถยนต์ ราคา 2022 แนะนำแบตเตอรี่รถยนต์ ราคาถูก

แบตเตอรี่ รถยนต์

แบตเตอรี่รถยนต์มีกี่ชนิด

สำหรับแบตเตอรี่รถยนต์ที่มีการใช้งานอยู่ในปัจจุบันมีด้วยกันอยู่ 3 ประเภท ได้แก่ แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แห้ง และ แบตเตอรี่ไฮบริด โดยแบตเตอรี่ในทั้ง 3 ประเภท มีหลักการทำงานที่มีความแตกต่างกันดังนี้

• แบตเตอรี่น้ำ แบตเตอรี่แบบน้ำจัดเป็นแบตเตอรี่ที่มีความทนทานสูงเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับแบตเตอรี่แบบแห้งแล้วแบตเตอรี่น้ำมีอายุการใช้งานที่มากกว่า อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่ในชนิดนี้จะต้องใช้น้ำกลั่นสำหรับเติมในหม้อแบตเตอรี่ซึ่งจะมีช่องให้เติมน้ำกลั่นอยู่โดยตลอด เนื่องจากน้ำกลั่นจะระเหยออกอยู่เรื่อยๆเมื่อมีการใช้งานแบตเตอรี่ โดยมีอัตราการจ่ายกระแสกไฟอยู่ที่ 50-70 เปอร์เซ็นต์ ของความจุแบตเตอรี่ จากนั้นเมื่อแบตมีการเสื่อมสภาพลงจะค่อยๆจ่ายไฟเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในรถยนต์ได้น้อยลงเรื่อยๆจนกระทั่งรถไม่สามารถสตาร์ทติดได้นั่นเอง เพราะฉะนั้นจึงควรเติมน้ำกลั่นให้แบตเตอรี่ประเภทนี้อยู่อย่างสม่ำเสมอ
• แบตเตอรี่กึ่งแห้ง สำหรับแบตเตอรี่ในประเภทนี้คุณภาพที่ใกล้เคียงกับแบตเตอรี่แห้งแต่ก็มีข้อแตกต่างอยู่ที่ยังคงมีช่องสำหรับให้ผู้ขับขี่เติมน้ำกลั่นลงไปอยู่โดยมีอัตราการจ่ายกระแสไฟเข้าสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์อยู่ที่ 60-70 เปอร์เซ็นต์ของความจุแบตเตอรี่
• แบตเตอรี่แห้ง แบตเตอรี่ประเภทนี้มีหลักการทำงานที่แตกต่างจากแบตเตอรี่น้ำอยู่พอสมควร โดยแบตเตอรี่แห้งจะใช้เจลกรดเข้ามาแทนที่น้ำกลั่นและที่ปิดผนึกเอาไว้ไม่สามารถที่จะเติมเจลกรดลงไปแทนที่ได้เหมือนดั่งเช่นในแบตเตอรี่น้ำ อย่างไรก็ตามแบตเตอรี่แห้งมีอัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าที่เสถียรกว่าแบตเตอรี่น้ำอยู่มาก โดยแบตเตอรี่แห้งสามารถจ่ายไฟได้ประมาณ 70-80%  ของความจุแบตเตอรี่ เมื่อหมดสภาพไม่สามารถที่จะเติมเจลกรดเพิ่มลงไปได้ต้องเปลี่ยนใหม่เพียงอย่างเดียว 
• แบตเตอรี่ไฮบริด แบตเตอรี่ในรูปแบบนี้มีฟังก์ชั่นการทำงานที่คล้ายคลึงกับแบตเตอรี่น้ำแต่มีการออกแบบให้ช่วยลดการระเหยของน้ำกลั่นได้ในปริมาณที่ดีกว่ามาก เพราะฉะนั้นผู้ใช้งานรถจึงไม่ต้องคอยตรวจสอบน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ในทุกๆครั้งที่มีการเดินทาง อย่างไรก็ตามแม้จะไม่ต้องตรวจสอบระดับน้ำกลั่นในแบตเตอรี่ แต่ก็ต้องมีการเติมน้ำกลั่นลงไปในแบตเตอรี่แบบไฮบริดอยู่ดี โดยแบตเตอรี่ประเภทนี้มีอัตราการจ่ายกระแสไฟฟ้าเข้าสู่ระบบไฟฟ้าภายในรถอยู่ในปริมาณที่สูง

แบตเตอรี่เสื่อมสภาพสังเกตได้อย่างไร

แบตเตอรี่รถยนต์ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดก็ตามหากมีการใช้งานไปในระยะเวลานานจะเริ่มมีการเสื่อมสภาพซึ่งเป็นไปตามอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ซึ่งผู้ขับขี่สามารถที่จะสังเกตอาการแบตเตอรี่เสื่อเก็บประจุไฟไม่อยู่มีดังนี้

• สำหรับการตรวจเช็คแบตเตอรี่รถยนต์ผู้ขับขี่สามารถที่จะตรวจสอบได้ด้วยตนเองผ่านการสังเกตในขณะที่ทำการสตาร์ทเครื่องยนต์หากต้องใช้ระยะเวลาในการสตาร์ทนาน และสตาร์ทเพียงครั้งเดียวไม่ติดก็แสดงว่าระบบไฟในรถกำลังมีปัญหาแบตเตอรี่ไม่สามารถที่จะจัดเก็บประจุไฟ หรือ จ่ายไฟเข้าสู่ระบบการทำงานของเครื่องยนต์ได้ควรเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ 
• ในกรณีที่ใช้แบตเตอรี่แห้งเมื่อใช้งานมาในระยะเวลาหนึ่งอาจมีการเสื่อสภาพและทำให้สตาร์ทไม่ติดในกรณีนี้ผู้ขับขี่ควรตรวจสอบที่บริเวณส่วนด้านบนของแบตเตอรี่ซึ่งจะมีช่องระบุว่าแบตเตอรี่สามารถเก็บประจุไฟได้อยู่หรือไม่ด้วยวิธีการสังเกตหากอยู่ในแถบสีเขียวแบตเตอรี่ยังคงสามารถจัดเก็บประจุไฟได้ดีอยู่ แต่หากพบว่าแบตเตอรี่อยู่ในแถบสีแดงแสดงว่าแบตเตอรี่เสื่อมและไม่สามารถที่จะจัดเก็บประจุไฟได้

อ่านเพิ่มเติม: การ ดูแล รักษา แบตเตอรี่ รถยนต์ ช่วยเพิ่มอายุการใช้งานให้นานขึ้น

แนะนำวิธีการพ่วงแบตเตอรี่รถยนต์

ในกรณีที่แบตเตอรี่หมดบนท้องถนนปัจจุบันผู้ขับขี่สามารถที่จะแก้ไขได้ง่ายๆเพียงตั้งสติแล้วจึงขอความช่วยเหลือจากรถที่ขับผ่านอยู่ในบริเวณเดียวกัน หรือ โทรติดต่อผู้ที่สามารถเข้ามาพ่วงแบตเตอรี่ให้ได้เพื่อชาร์จไฟเข้าสู่แบตเตอรี่และขับรถไปต่อ สำหรับขั้นตอนในการพ่วงแบตเตอรี่สามารถที่จะทำได้อย่างไม่ยากเย็นนักเพียงแต่จะต้องใช้รถที่มีขนาดของเครื่องยนต์ใหญ่กว่า หรือ ในรถรุ่นและกลุ่มเดียวกันซึ่งมีแบตเตอรี่ที่มีขนาดความจุใกล้เคียงกันแล้วนำมาพ่วงเพื่อชาร์จไฟได้นั่นเอง

สำหรับวิธีการพ่วงแบตเตอรี่อย่างปลอดภัยนั้นควรดับเครื่องยนต์และปิดการทำงานของระบบไฟฟ้าที่ภายในรถทั้งหมด ก่อนนำสายพ่วงแบตเตอรี่มาชาร์จไฟกับรถอีกคัน โดยนำหัวของสายพ่วงขั้วบวกซึ่งจะมีสีแดงมาต่อพ่วงเข้ากับแบตเตอรี่ขั้วบวก จากนั้นจึงนำหัวของสายพ่วงขั้วลบซึ่งจะมีสีเขียว หรือ สีดำเข้ามาต่อพ่วงเข้ากับขั้วลบ ภายหลังจึงนำสายหัวต่อที่เหลือมาต่อเข้ากับส่วนที่เป็นโลหะของเครื่องยนต์ในรถคันที่แบตเตอรี่หมด โดยเว้นระยะห่างจากแบตเตอรี่เล็กน้อย หรือ ใช้แตะในส่วนตัวยึดแบตเตอรี่ได้เช่นกัน จากนั้นจึงสตาร์ทรถคันที่ยังมีแบตเตอรี่อยู่เพื่อชาร์จไฟให้กับคันที่แบตเตอรี่หมดโดยใช้ระยะเวลาประมาณ 3 นาที หลังจากนั้นจึงทำการเร่งเครื่องยนต์เพื่อให้ประจุไฟฟ้าไหลเวียนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น 

เมื่อทำการชาร์จแบตเตอรี่ไปได้ระยะหนึ่งจึงทำการสตาร์ทเครื่องยนต์รถคันที่แบตเตอรี่หมด พร้อมทั้งเร่งเครื่องให้รอบเครื่องยนต์อยู่ที่ประมาณ 1,500-2,000 รอบ/นาที เพื่อเช็คดูประจุไฟฟ้าว่าได้ไหลเข้าสู่แบตเตอรี่หรือไม่ หากสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเร่งเครื่องยนต์แล้วรถไม่ดับก็แสดงว่าการชาร์จไฟแบตเตอรี่ประสบความสำเร็จสามารถที่จะถอดสายชาร์จแบตเตอรี่ออกได้โดยเริ่มถอดจากรถคันที่ทำการชาร์จไฟให้ก่อนมาถอดให้กับรถคันที่แบตเตอรี่หมด ภายหลังจึงนำรถไปขับประมาณ 30 นาที หรือ นำไปเช็คแบตเตอรี่ยังศูนย์บริการเพื่อป้องกันปัญหาแบตเตอรี่หมดในขณะทำการขับขี่บนท้องถนน

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่: https://khaorodnissan.com/

ปัญหายางรถยนต์รั่วซึมเป็นอุปสรรคหนึ่งที่คนมีรถต้องพบเจอ ซึ่งสามารถแก้ไขด้วยวิธีการ ปะยาง และการ ปะยางรถ มีกี่วิธี แบบไหนดีที่สุด บทความนี้มีคำตอบ

เชื่อว่าคนมีรถยนต์หลายคนต่างหลีกเลี่ยงและไม่อยากพบเจอปัญหายางรถยนต์รั่วซึม ที่มีสาเหตุมาจากวัตถุบนท้องถนน เช่น ตะปู น็อต ก้อนหิน หรือของมีคมที่ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ที่ไม่สามารถแก้ไขได้ เพราะปัญหายางรั่วซึมสามารถแก้ไขได้ด้วย การ ปะ ยาง รถยนต์ ซึ่งถือว่าเป็นการซ่อมแซมได้ไม่ยากและมีราคาที่ไม่สูง รวมทั้งยังมีร้านให้บริการอยู่เป็นจำนวนมาก และการ ปะยางรถ ก็สามารถทำได้ด้วยตัวเอง โดยส่วนใหญ่แล้วปัญหาของยางรั่วนั้นไม่ได้หมายความว่ายางจะเสียหายทั้งเส้น ซึ่งจะเป็นการซ่อมแซมตามรอยรั่วเพื่อให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ ในส่วน วิธีปะยางรถยนต์ มีหลายแบบ และวิธีที่ดีที่สุดคือแบบไหน บทความนี้มีคำตอบ

ความสำคัญของ ยางรถยนต์

ยางรถยนต์ คือชิ้นส่วนที่มีความสำคัญมากที่สุดของรถยนต์ เนื่องจากยางรถยนต์เป็นชิ้นส่วนเดียวที่คอยสัมผัสพื้นถนนอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะขับรถด้วยความเร็วหรือขับรถช้าหากยางรถยนต์ไม่ได้มาตรฐานหรือเติมลมยางไม่ถูกตามเกณฑ์ที่กำหนดก็อาจทำให้เกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ทุกเมื่อ ถึงแม้ว่าการซ่อมแซมยางจะสามารถทำได้ด้วยการปะยาง แต่วิธีการปะยางแต่ละแบบก็จะมีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการหมั่นดูแลยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพื่อตรวจเช็กให้ยางรถยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมทุกครั้งก่อนออกเดินทาง 

วิธีปะยางรถยนต์

ปะยางแบบแทงใยไหม

สำหรับวิธีการปะยางรถยนต์แบบแรกเรียกว่า การปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหม ซึ่งเป็นวิธีการปะยางที่ง่ายและไม่ซับซ้อน โดยเริ่มจากการดึงวัตถุที่แทงลงไปในยางรถยนต์ออกมา หลังจากนั้นใช้ตะไบหางหนูหรือสว่านเบอร์เล็กทะลวงแผลให้เปิดเป็นวงกว้างออกเพื่อแทงใยไหมลงไป คอยสังเกตปากแผลให้เรียบและอย่าให้มีโครงลวดของยางทิ่มออกมา นำอุปกรณ์แทงใยไหมที่มีลักษณะคล้ายเข็มร้อยขนาดใหญ่มาทากาวแล้วร้อยไหมเข้าไปในตาเข็ม อุดลงไปในรูแผลที่เปิดค้างเอาไว้แล้วค่อยดึงเข็มขึ้นมาและตัดไหมส่วนที่เกินออกให้เรียบร้อย

ปะยางแบบแทงใยไหม

วิธีการปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหมนี้เหมาะสำหรับการซ่อมยางรถยนต์ที่มีรูรั่วขนาดเล็ก โดยส่วนใหญ่แล้วถูกใช้ในกรณียางรถยนต์เหยียบตะปูหรือถูกของแหลมทิ่ม ซึ่งวิธีการนี้มีข้อดีคือสามารถแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วและสามารถทำได้ด้วยตัวเองโดยที่ไม่ต้องไปพึ่งช่างหรือผู้เชี่ยวชาญคอยมาทำให้ และในส่วนข้อเสียนั้นคือสามารถทำได้เฉพาะแค่แผลขนาดเล็กและยังสามารถเกิดการรั่วซึมที่แผลเดิมได้ตลอดเวลา

ในปัจจุบันการปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหมสามารถซ่อมยางเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง รวมทั้งยังมีอุปกรณ์ที่หาซื้อได้ง่ายตามท้องตลาดทั่วไป หรือซื้อผ่านช่องทางออนไลน์ก็ได้ ซึ่งมีราคาที่ไม่แพงและสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ในกรณีเกิดเหตุฉุกเฉินก็ไม่ต้องคอยพึ่งช่างอีกต่อไป แต่ถ้าหากเป็นมือใหม่ที่เพิ่งเคยทำเป็นครั้งแรก เมื่อทำการปะยางรถยนต์แบบแทงใยไหมด้วยตัวเองแล้ว ควรนำรถเข้าไปที่ศูนย์บริการเพื่อตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ หากเกิดรอยรั่วที่บริเวณแก้มยางหรือไหล่ยาง ข้อควรระวังคือห้ามปะยางเด็ดขาด และควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่เท่านั้น

อ่านเพิ่มเติม :

• การสลับยาง ทำเพื่ออะไร ยืดอายุยางได้จริงหรือ ?

• ยางบวม เกิดขึ้นจากอะไร

ปะยางแบบสตรีม

ส่วนวิธีการปะยางยางแบบที่สองเรียกว่า การปะยางรถยนต์แบบสตรีม ซึ่งประกอบไปด้วยทั้งการปะยางแบบสตรีมร้อนและการปะยางแบบสตรีมเย็น โดยวิธีการปะยางทั้งสองแบบนี้จะใช้วัสดุแผ่นยางชิ้นเล็กในการปะและจะมีวิธีการที่คล้ายคลึงกับการแทงใยไหม ด้วยการเริ่มต้นจากถอดยางออกมาแล้วใช้กระดาษทรายขัดผิวรอบรูให้สะอาด โดยเว้นที่ให้ผิวมีรอยสากเล็กน้อยเพื่อทำให้กาวยึดติดได้ดี ส่วนการสตรีมเย็นจะใช้กาวยาปะด้วยชุดสตรีมแล้วรีดให้เรียบแน่นติดกับยาง แต่สตรีมร้อนจะใช้ความร้อนในการช่วยปะ เมื่อยางแผ่นเล็กเรียบเนียนไปกับยางก็ทำการประกอบเข้ากับล้อพร้อมกับเติมลมยางได้ทันที

ปะยางแบบสตรีม

ข้อดีของการปะยางรถยนต์แบบสตรีมคือสามารถปะรูรั่วได้อย่างสนิทและมีความคงทนมากกว่าการปะยางแบบแทงใยไหม ส่วนข้อเสียคือขั้นตอนและวิธีการทำที่ต้องถอดล้อรถออกมาที่ทำให้ต้องใช้เวลานานมากกว่าการปะยางแบบแทงใยไหม และเมื่อปะเสร็จแล้วยังต้องถ่วงล้อหลังทำเสร็จอีกด้วย รวมทั้งยังไม่สามารถทำได้ด้วยตัวเองต้องให้ช่างหรือผู้มีความเชี่ยวชาญเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม การปะยางทั้งสองวิธีนี้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ของสภาพยางในขณะนั้นและความต้องการของผู้ขับขี่ที่สามารถเลือกได้เอง หากต้องการความรวดเร็วก็ต้องเลือกการปะยางแบบแทงใยไหมและถ้าหากบาดแผลบนยางไม่เยอะและพอมีงบประมาณ การปะยางแบบสตรีมก็ดูจะเหมาะสมมากกว่า ก่อนตัดสินใจทุกครั้งควรปรึกษาช่างผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเพื่อให้ได้คำตอบที่ถูกต้องมากที่สุด

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่: https://khaorodnissan.com/

ยางรถบวม เกิดขึ้นจากอะไร พร้อมมีวิธีแก้ไขอย่างไรบ้าง และปัญหานี้เป็นสัญญาณเตือนที่บ่งบอกถึงอะไร บทความนี้มีคำตอบ

ยางรถยนต์ คือชิ้นส่วนสำคัญของรถที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งหัวใจหลักในการขับเคลื่อนที่ต้องคอยสัมผัสกับพื้นผิวของถนนอยู่ตลอดเวลา เพื่อช่วยให้การขับเคลื่อนของตัวรถเป็นไปอย่างนุ่มนวล ลดแรงกระแทก และยึดเกาะกับทุกสภาพพื้นผิวของถนน การให้ความสำคัญในการหมั่นตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอจึงเป็นที่คนมีรถควรทำเพื่อให้ยางรถยนต์อยู่ในสภาพที่พร้อมใช้งานที่สุด ซึ่งหนึ่งในปัญหาที่อาจเกิดขึ้นได้กับยางนั่นก็คือ ยาง รถ บวม เป็นปัญหาที่ต้องควรรีบแก้ไข และปัญหายางบวมนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร ยาง บวม อันตราย ไหม บทความนี้มีคำตอบ

ยางรถบวม เกิดขึ้นได้อย่างไร

สำหรับปัญหา ยางรถบวม สามารถเกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยสำคัญนั้นมาจากแรงกระแทกอย่างต่อเนื่องและรุนแรง เช่น ขับรถตกหลุมด้วยความเร็ว หรือขึ้นลูกระนาดอย่างรวดเร็ว จึงทำให้โครงสร้างภายในผ้าใบและเส้นใยของยางฉีกขาด โดยส่วนใหญ่แล้วจะเกิดขึ้นบริเวณแก้มยางที่เหลือเพียงชั้นยางที่ยืดหยุ่นสูง จนทำให้ ยางบวมแก้ม หากฝืนใช้งานต่อจะเป็นอันตราย เนื่องจากความร้อนภายในยางสะสมที่อาจทำให้ยางแตกระเบิดได้ หากก่อนเกิดปัญหาอาการยางบวมสามารถสันนิษฐานได้ว่ามาจากปัญหา ดังนี้

• ยางเสื่อมสภาพ หากผู้ขับขี่ไม่ได้ดูแลรักษายางรถในแบบที่ควรและปล่อยเอาไว้จนยางหมดอายุหรือขับรถในขณะที่ยางแบนอยู่เป็นประจำ พฤติกรรมเหล่านี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้โครงสร้างของบริเวณแก้มยางทำงานหนักจนส่งผลทำให้เกิดความเสียหายได้
• บรรทุกของหนักเกินไป ในกรณีที่ผู้ขับขี่เลือกใช้ยางที่ไม่ได้มาตรฐานและยังนำรถไปบรรทุกของหนักเกินความจำเป็น สามารถทำให้โครงยางเสียหายอย่างหนักและเกิดอาการยางบวมได้ในที่สุด
• ซ่อมผิดวิธี โดยส่วนใหญ่แล้วตามร้านปะยางทั่วไปมักซ่อมแซมในเฉพาะส่วนของท้องยาง ซึ่งการซ่อมแบบนี้ทำให้เกิดความชื้นภายนอกเข้าสู่โครยางจากรูรั่วด้านนอก ในบริเวณนี้มีส่วนประกอบของเหล็กที่ทำให้เส้นลวดภายในขึ้นสนิมและแยกตัวออกจากกันจนเป็นที่มาของยางบวม
• กระแทกอย่างหนัก การขับขี่รถตกหลุมบ่อยครั้ง หรือขึ้นลูกระนาดด้วยความเร็วที่ไม่ได้มีการผ่อนคันเร่ง อาจทำให้โครงยางด้านในเกิดการฉีกขาด ผ้าใบบริเวณแก้มยางเสียหายและทำให้ยางรถบวม

ยาง บวม อันตราย ไหม

ยางบวม ควรทำอย่างไร

หากผู้ขับขี่ได้ทำการตรวจสอบยางรถยนต์เป็นที่เรียบร้อยแล้วพบว่าเจอปัญหายางบวมเข้าให้แล้วควรทำอย่างไร ซึ่งความเชื่อผิด ๆ ที่หลายคนเคยบอกว่าแค่เจาะบริเวณที่บวมให้ยุบลงแค่นี้ก็สามารถใช้งานต่อได้ปกติแล้ว เป็นวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ถูกต้องอย่างเด็ดขาด เพราะนอกจากจะไม่ช่วยทำให้สภาพของยางดีขึ้นแล้วยังเสี่ยงทำให้เกิดอุบัติเหตุได้อีกด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ที่ขับขี่รถในระยะยางทางไกลอยู่บ่อยครั้งหรือผู้ที่ใช้อย่างเป็นประจำทุกวัน เมื่อต้องพบกับปัญหายางบวมวิธีการแก้ไขปัญหาที่ดีที่สุดคือการเปลี่ยนยางเส้นใหม่นั่นเอง 

วิธีการดูแลลมยางที่ถูกต้อง

การเติมลมยางที่ถูกต้องคือหัวสำคัญของยางรถยนต์ หากไม่มีลมยาง ยางรถยนต์ก็จะไม่สามารถใช้งานได้อย่างที่ควรเป็น สำหรับวิธีการเติมลมยางที่ถูกต้อง มีดังนี้

• ตรวจเช็กระดับลมยางอย่างสม่ำเสมอ
• เติมลมยางในปริมาณที่คู่มือรถแนะนำ
• ในช่วง 3,000 กิโลเมตรแรกของยางใหม่ ควรเพิ่มความถี่ในการเช็กลมยางให้มากกว่าปกติ
• ห้ามปล่อยลมยางออกเมื่อความดันลมยางสูง
• เมื่อเปลี่ยนยางใหม่ ควรเปลี่ยนวาล์วและแกนวาล์วเพื่อป้องกันการรั่วซึม
• ตรวจเช็กลมยางอะไหล่ทุกเดือน
• หากขับรถด้วยความเร็ว ควรเติมลมยางให้มากกว่าปกติ 3-5 ปอนด์ เพื่อลดการบิดตัวของโครงยาง

ยางบวมแก้ม

อ่านเพิ่มเติม:

• การดูแลรักษายางรถยนต์ ผู้ใช้รถไม่ควรละเลย

• วิธี ดูยางรถยนต์เบื้องต้น รู้ไว้ดีกว่า !

ยางบวม เคลมได้หรือไม่

• เคลมร้านขายยาง โดยปกติแล้วร้านขายยางรถยนต์จะมีโปรโมชันของทางร้านที่ครอบคลุมความคุ้มครองของยาง ไม่ว่าจะเป็นปัญหา ยางบวม หรือยางฉีกขาด ส่วนใหญ่แล้วรับประกันที่ 1 หมื่นกิโลเมตร หรือ 6 เดือนแรกหลังจากที่ซื้อ ซึ่งขึ้นอยู่กับข้อกำหนดของแต่ละร้านที่แตกต่างกัน แต่สิ่งสำคัญควรเก็บใบเสร็จไว้ทุกครั้งเพื่อยื่นเป็นหลักฐานในการเคลม
• เคลมประกันรถยนต์ชั้น 1 สำหรับปัญหายางรถบวมก็สามารถเคลมประกันชั้น 1 ได้ ซึ่งครอบคลุมเอาไว้ทั้งหมดอยู่แล้ว เว้นแต่ชิ้นส่วนที่มีอาการเสื่อมสภาพตามการใช้งาน เช่น บริษัทกรมธรรมน์จะให้ความคุ้มครอง 50% ของราคายางรถยนต์และจะรับผิดชอบตามจำนวนของล้อที่เกิดความเสียหาย

อย่างไรก็ตาม หากผู้ขับขี่ไม่ต้องการเผชิญกับปัญหาเหล่านี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการหมั่นตรวจเช็กสภาพยางรถยนต์อย่างสม่ำเสมอ เพราะถ้าเจอปัญหาที่เกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วก็จะสามารถซ่อมแซมได้ทันเวลาและกลับมาใช้งานได้ตามปกติก่อนที่ยางจะเสียหายหนักไปมากกว่านี้จนถึงขั้นเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงที่ไม่อาจคาดคิด

ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่: https://khaorodnissan.com/