ระบบเบรครถยนต์ ถือว่าเป็นสิ่งที่ควรใส่ใจดูแล ตรวจสอบอยู่เสมอ ๆ เนื่องจากเป็นระบบที่ทำให้รถยนต์สามารถชลอความเร็ว ตลอดจนเบรคหยุดรถได้ ซึ่งมันเกี่ยวข้องกับความปลอดภัยของผู้ขับขี่ก็ว่าได้
วิธีแก้ปัญหาแอร์รถยนต์ไม่เย็น มีแต่ลม
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่ารถยนต์ทุก ๆ คัน อาจมีโอกาสที่ระบบเบรคมีปัญหาได้ ไม่ว่าจะเป็นจากอายุการใช้งานของเบรคที่ถึงเวลาเสีย ตลอดจนความผิดปกติของระบบที่ทำให้เบรคมีปัญหา เมื่อระบบเบรคมีปัญหาแล้ว อย่างแรกที่ไม่ควรทำเลยก็คือ การที่ยังจะใช้รถยนต์คันนั้นต่อ ทั้งที่ระบบเบรคมีปัญหานั้นเอง
หากคุณหมั่นตรวจสอบ เช็กสภาพเบรคอยู่เสมอ ๆ จะช่วยยืดอายุการใช้งานของระบบเบรคออกไป ตลอดจนในแง่ความปลอดภัยของการขับขี่รถยนต์อีกด้วย
เริ่มกันที่วิธีการดูผ้าเบรครถยนต์ว่าใกล้หมดรึยัง? ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นเรื่องพื้นฐานที่ใคร ๆ ก็สามารถตรวจสอบก็ได้ โดยสามารถตรวจสอบง่าย ๆ กับรถยนต์ที่มีระบบเบรคเป็นดิสก์ ในส่วนระบบเบรคหลังที่เป็นดรัม จะมีวิธีการดูที่ยากกว่าพอ

สมควร
การดูผ้าเบรครถยนต์ที่เป็นดิสก์ เริ่มจากให้สังเกตที่ตัวคาลิเปอร์บริเวณวงล้อรถตรงจานดิสก์ ให้พยายามมองหาผ้าเบรคที่ยึดติดอยู่กับตัวตัวคาลิเปอร์ ซึ่งตามปกติแผ่นผ้าเบรคจะมีความหนาอยู่ที่ 10 มม. โดยประมาณ และก็จะลดลงไปเรื่อย ๆ ตามระยะการใช้งาน เมื่อแผ่นผ้าเบรคเหลือความหนาอยู่ที่ 4 มม. แนะนำว่าควรเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่ได้แล้ว เพื่อประสิทธิภาพในการเบรคที่ดี
ส่วนคำถามที่ว่าผ้าเบรครถยนต์ควรเปลี่ยนตอนไหน ตามปกติผ้าเบรครถยนต์จะสามารถใช้ได้ถึงประมาณ 50,000 กิโลเมตร โดยประมาณ แต่จะขึ้นอยู่กับลักษณะการขับขี่ การใช้งานของรถยนต์คันนั้น ๆ อีกทีหนึ่งก็ว่า
ในส่วนการตรวจดูผ้าเบรครถยนต์ที่เป็นดรัมเบรคนั้น จำเป็นจะต้องถอดล้อรถออกมาเสียก่อน ซึ่งจำเป็นต้องแกะรื้อดูก็ว่าได้ โดยในดรัมเบรกหนึ่งตัว จะมีก้านผ้าเบรกหน้าและก้านผ้าเบรกหลังอยู่ ตามธรรมชาติก้านผ้าเบรคหน้าจะสึกมากกว่า ซึ่งใช้หลักการวัดตรวจสอบเหมือนผ้าเบรกปกติ หากเนื้อผ้าเบรกเหลือน้อยกว่า 4 มม. ก็ควรจับผ้าเบรคเปลี่ยนเหมือนกัน
นอกจากนี้ยังมีวิธีการดูผ้าเบรคหมดในรูปแบบวิธีต่าง ๆ ยกตัวอย่างเช่น
- หากรถยนต์เบรคแล้วมีเสียงจี๊ดๆ ที่ล้อเกิดขึ้น ซึ่งก่อนหน้านี้ไม่เคยเป็นมาก่อน ให้คาดการณ์ได้เลยว่า ผ้าเบรครถยนต์ของคุณกำลังจะหมด
- ตรวจเช็กน้ำมันเบรค ตามปกติของคนใช้รถยนต์ ก็ควรเปิดฝากระโปรงเพื่อตรวจเช็กของเหลวต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น น้ำมันเครื่อง, น้ำมันเพาเวอร์, น้ำหม้อน้ำ และน้ำมันเบรค ซึ่งหากน้ำมันเบรคของคุณมีปริมาณลดลงที่ผิดปกติ หากไม่ใช่น้ำมันเบรครั่วซึมแล้ว ก็ต้องเป็นเรื่องของผ้าเบรคที่กำลังจะหมดนั้นเอง
- สัมผัสในการเหยียบเบรกไม่เหมือนเดิม หากคุณขับรถจนคุ้นชินแล้วล่ะก็ การที่รถคุณมีความผิดปกติไปจากเดิม มั่นใจว่าตัวคุณจะสังเกตได้ ยกตัวอย่างเช่น หากผ้าเบรครถกำลังจะหมด การเหยียบแป้นเบรคคุณอาจต้องใส่น้ำหนักเพิ่มกว่าปกติอยู่เล็กน้อยเป็นต้น

เช็กน้ำมันเบรค
ทั้งนี้การดูแลตรวจสอบเบรคอยู่เสมอ ๆ สามารถช่วยป้องกันไม่ให้รถเบรกแตกก็ว่าได้ ซึ่งอาการรถเบรกแตกเกิดจากสาเหตุระบบเบรครถที่ไม่สมบูรณ์ จึงทำให้การทำงานของระบบเบรคไม่สามารถทำได้เหมือนเดิมปกติ ส่งผลให้รถเบรคแตกนั้นเอง ยกตัวอย่างง่าย ๆ หากคุณไม่ได้ตรวจเช็กน้ำมันเบรคว่าลดลงจนอาจเกิดปัญหา และไม่สนใจไฟสัญญาณลักษณ์แจ้งเตือนที่เรือนไมล์ ยังคงฝืนใช้รถยนต์ต่อไปแล้วล่ะก็ หากเหยียบเบรกจะรับรู้ได้ทันทีว่าระบบเบรคไม่ทำงาน เนื่องจากไม่มีน้ำมันเบรคไหลไปดันลูกสูบที่ตัวคาลิเปอร์เบรคนั้นเอง
ตลอดจนการใช้งานเบรคอย่างหนักหน่วงไม่มีการพัก ยกตัวอย่างเช่นการขับรถยนต์ลงเขาสูง ๆ และใช้แต่เบรคในการชะลอรถยนต์ให้ลดความเร็ว ไม่มีการใช้กำลังเครื่องช่วยในการดึง คุณอาจต้องพบกับเหตุการณ์ผ้าเบรคไหม้ เมื่อผ้าเบรคไหม้แล้ว รถยนต์ก็ไม่สามารถเบรคได้อีกต่อไป ทางที่ดีสำหรับการขับรถยนต์ลงเขาก็คือ ใช้เบรคในบ้างช่วงจังหวะ อย่างเหยียบแช่ตลอด และอาจต้องมีการจอดพักเบรคบ้างก็ว่าได้

ความร้อนที่เกิดจากการเบรค
การใช้เบรคที่หนักหน่วง อาจทำให้คุณต้องพบกับอาการผ้าเบรคแตกร้าวได้ด้วย ซึ่งแนะนำว่าเปลี่ยนผ้าเบรคใหม่จะดีกว่า เนื่องจากป้องกันความสุ้มเสียง,สุ่มเสี่ยงที่เนื้อผ้าเบรคจะหลุดออกจากตัวผ้าเบรค และอาจส่งผลให้รถของคุณมีอาการเบรคที่ผิดปกตินั้นเอง ทั้งนี้ผ้าเบรคแตกเกิดได้ตั้งการใช้งาน และการผลิตที่ผิดพลาดอีกด้วย
ติดตามข่าวล่าสุดได้ที่: https://khaorodnissan.com/